Thailand Web Stat Truehits.net
Image Alternative text
แนะนำการ Calibrate อุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณอนาล็อกมาตรฐาน (Digital Load Cell Transmitter)

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      อุปกรณ์แปลงสัญญาณทางไฟฟ้า (Signal Transmitter) คือ อุปกรณ์แปลงสัญญาณทางไฟฟ้าให้เป็นสัญญาณอะนาล็อกมาตรฐาน (Analog Signal) เช่น 4-20mA, 0-10V เป็นต้น ที่สามารถรับอินพุตประเภท Load Cell, Strain-Gauge, AC/DC Current, AC/DC Voltage, Resistance, Frequency, RPM และ Multi Input for Thermocouple, PT100 (RTD) ฯลฯ โดยที่อินพุต (Input) และเอาต์พุต (Output) แยกอิสระจากกัน (Isolation) จึงทำให้ไม่เกิดการรบกวนสัญญาณต่อกัน และหากสัญญาณด้านอินพุต (Input) เกิดการช็อตก็จะไม่มีผลกระทบต่อสัญญาณด้านเอาต์พุต (Output) ซึ่งสัญญาณเหล่านี้ในบางครั้งไม่สามารถนำมาใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เครื่องมือวัดได้โดยตรง เนื่องจากเป็นสัญญาณที่ต่างชนิดกันของเครื่องมือวัดแต่ละตัว ดังนั้นจึงได้มีการกำหนดมาตรฐานของสัญญาณอนาล็อกขึ้น (4-20mA, 0-10VDC) เพื่อให้สามารถใชังานร่วมกับอุปกรณ์ประเภททรานสดิวเซอร์ (Transducer) หรืออุปกรณ์เครื่องมือวัดและควบคุมอื่น ๆ ได้ เช่น เซ็นเซอร์วัดแรงดัน (Pressure Transmitter), เซ็นเซอร์วัดความชื้นและอุณหภูมิ (Humidity & Temperature Transmitter), เซ็นเซอร์วัดระดับแบบต่อเนื่อง (Level Sensor / Level Transmitter), เครื่องแสดงผล (Indicator), เครื่องควบคุม (Controller) หรือ PLC เป็นต้น โดยการนำเอาสัญญาณอนาล็อกมาตรฐานทางด้านเอาต์พุต (Output Signal) ที่ได้จากอุปกรณ์แปลงสัญญาณ (Signal Transmitter) มาแสดงผลหรือควบคุมของระบบในโรงงานอุตสาหกรรม โดยในส่วนการนำไปใช้งานของ Signal Transmitter นั้น ท่านผู้อ่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในบทความที่ผ่านมาของเราได้ ในหัวข้อ “การนำไปใช้งานของ Signal Transmitter และการต่อใช้งาน Signal Transmitter แบบต่าง ๆ”      โดยในวันนี้ผู้บรรยายขอยกตัวอย่างอุปกรณ์แปลงสัญญาณน้ำหนักหรือแรงดันจาก Load Cell โดยรับอินพุตจาก Strain-Gauge เช่น 1.5, 2, 2.5, 3, 3.3 mV/V by Excite Voltage 5Vdc หรือ 10Vdc ให้เป็นสัญญาณอนาล็อกมาตรฐาน (Analog Signal) 4-20mA, 0-10V รุ่น IM-G Series ยี่ห้อ Primus ที่มี Display 7-Segment แสดงผลแบบดิจิตอล (Digital Load Cell Transmitter) ง่ายต่อการใช้งาน ดังนี้ Digital Load Cell Transmitter (IM-G-Series) อธิบายสัญลักษณ์ของ Display อุปกรณ์แปลงสัญญาณน้ำหนัก หรือแรงดันจาก Load Cell ให้เป็นสัญญาณอะนาล็อกมาตรฐานแบบดิจิตอล ที่มี Display แสดงผลง่ายต่อการทำางาน      อุปกรณ์แปลงสัญญาณน้ำหนักหรือแรงดันจาก Load Cell ให้เป็นสัญญาณอนาล็อกมาตรฐานแบบดิจิตอล (Digital Load Cell Transmitter) ทำหน้าที่แปลงสัญญาณแรงดันไฟ DC จากวงจรโหลดเซลล์ (Load Cell) หรือวงจรบริดจ์ (Bridge Circuit) เป็นสัญญาณไฟฟ้า DCV (0-10V) หรือ DCmA (4-20mA) โดยเซ็นเซอร์โหลดเซลล์ (Load Cell) จะถูกแปลงสัญญาณทางกลเป็นสัญญาณทางไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว โดยจะถูกรับจากแรงที่มากระทำ อาทิ แรงกด (Compression), แรงดึง (Force) หรือน้ำหนัก (Weight) ให้เปลี่ยนแปลงออกมาในรูปแบบของสัญญาณทางไฟฟ้า (mV/V) ซึ่งภายในโหลดเซลล์ (Load Cell) เกือบ 80% นั้น จะมีตัว Strain-Gauge จำนวน 4 ตัว อยู่ภายในซึ่งเป็นความต้านทานที่จะเปลี่ยนแปลงค่าไปตามแรงกดหรือแรงดึง โดยจัดเรียงในรูปแบบของวงจรบริดจ์ (Bridge Circuit) ดังรูป      ตัวอย่างวงจรของ Digital Load Cell Transmitter (IM-G-Series)      ซึ่งโดยปกติตัว Load Cell Transmitter จะมีทั้งรูปแบบของปุ่มปรับหมุน หรือแบบ Dip Switch เพื่อนำสัญญาณอนาล็อกมาตรฐาน (4-20mA , 0-10VDC) ทางด้านเอาต์พุตมาต่อใช้งานร่วมกับจอแสดงผล (Indicator) หรือเครื่องควบคุม (Controller) และ Load Cell Transmitter แสดงผลที่หน้าจอแบบดิจิตอล       โดยในวันนี้ผู้บรรยายจะขอแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับการ Calibrate Digital Load Cell Transmitter โดยยกตัวอย่างอุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณไฟฟ้ามาตรฐาน หรือโหลดเซลล์ทรานสมิตเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Load Cell Transmitter) รุ่น IM-G Series ยี่ห้อ Primus ในหัวข้อ “แนะนำการ Calibrate อุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณอนาล็อกมาตรฐาน (Digital Load Cell Transmitter)” ว่ามีเทคนิควิธการ Calibrate อย่างไร? เพื่อให้ค่าสัญญาณ Output มีความแม่นยำ โดย 2 ตัวอย่างดังนี้      1. Calibrate by Key Sensor Rating (mV)          การ Calibrate ค่าน้ำหนักในการชั่ง โดยกำหนดค่า mV ได้ 2 ตำแหน่ง คือ จุดเริ่มต้น (ไม่มีโหลดหรือไม่มีน้ำหนัก) และจุดสุดท้าย (มีโหลดสูงสุดหรือน้ำหนักสูงสุด)      2. Calibrate by Load          การ Calibrate ค่าน้ำหนักในการชั่ง โดยใช้โหลดจริงหรือน้ำหนักจริงในการ Calibrate สามารถ Calibrate ละเอียดได้สูงสุดถึง 8 ตำแหน่ง      ตัวอย่างที่ 1 การต่อใช้งาน Load Cell และการ Calibrate by Key Sensor Rating (mV) (Digital Load Cell Transmitter)      จากรูปตัวอย่างที่ 1 : การ Calibrate ค่าน้ำหนักในการชั่ง โดยกำหนดค่า mV ได้ 2 ตำแหน่ง คือ จุดเริ่มต้น (ไม่มีโหลดหรือไม่มีน้ำหนัก) โดยกำหนด 0.000mV และจุดสุดท้าย (มีโหลดสูงสุดหรือน้ำหนักสูงสุด) 20.000mV (ดังรูปที่ 1)      รูปที่ 1         มาทำความเข้าใจความหมายของสัญญาณโหลดเซลล์ (Load Cell) กันก่อนนะครับ         หากจ่ายแรงดัน 10V. ให้กับโหลดเซลล์ที่มี Rated Output 2 mV/V ที่ Full load         สมมติว่าเป็น 100 กิโลกรัม         ดังนั้นเมื่อมีแรงกระทำต่อโหลดเซลล์ที่น้ำหนัก 100 กิโลกรัม สัญญาณที่ออกมาจะได้เท่ากับ 20 mV         Excitation x mV = mV/V ที่ Full load      ตัวอย่างที่ 2 การต่อใช้งาน Load Cell และการ Calibrate by Load (Digital Load Cell Transmitter)      จากรูปตัวอย่างที่ 2 : การ Calibrate ค่าน้ำหนักในการชั่ง ใช้โหลดจริงหรือน้ำหนักจริง โดยการ Calibrate 3 ตำแหน่ง           Calibrate จุดเริ่มต้น (ไม่มีน้ำหนัก) คือ 0 kg           Calibrate จุดที่ 1 (น้ำหนัก 20 kg)           Calibrate จุดที่ 2 (น้ำหนัก 40 kg)           Calibrate จุดที่ 3 (น้ำหนัก 60 kg) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวัดค่าน้ำหนัก (ดังรูปที่ 2)      รูปที่ 2      จากการแนะนำการ Calibrate อุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณอนาล็อกมาตรฐาน (Digital Load Cell Transmitter) สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังนี้      อุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณอนาล็อกมาตรฐาน (Load Cell Transmitter)      • ใช้งานร่วมกับ PLC      • ใช้งานร่วมกับ Digital Indicator      • ใช้งานร่วมกับระบบ DCS      • ใช้งานร่วมกับระบบ SCADA      อุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณอนาล็อกมาตรฐาน (Digital Load Cell Transmitter) เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมประเภท ดังนี้      • เครื่องชั่งน้ำหนักหรือเครื่องแสดงค่าน้ำหนัก, อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร, อุตสาหกรรมพลาสติก, อุตสาหกรรมยาง, โพลิเมอร์, ยางไฟเบอร์ ฯลฯ    ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน   เครื่องชั่งน้ำหนักหรือเครื่องแสดงค่าน้ำหนัก อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร/ชั่งน้ำหนักอาหาร     โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
ลดปัญหาชิ้นงานเสียหายด้วยอุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm)

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      ในอุตสาหกรรมฉีดหรือขึ้นรูปพลาสติกต่าง ๆ ในปัจจุบัน มักมีการติดตั้งใช้งานฮีตเตอร์ (Heater) เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่หลักสิบตัวไปจนถึงเป็นร้อยตัวต่อเครื่อง เพื่อทำหน้าที่ให้ความร้อนแก่ชิ้นงาน และทางผู้ใช้งานย่อมเคยเจอเหตุการณ์ที่ชิ้นงานที่ผลิตออกมาไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการโดยผู้ใช้งานเองก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะมาจากอุณหภูมิที่ไม่เพียงพอของฮีตเตอร์ (Heater) อันเนื่องมาจากฮีตเตอร์ (Heater) อาจมีการชำรุด ทำให้ไม่สามารถทำอุณหภูมิได้ตามที่ต้องการ และกว่าทางผู้ใช้งานจะทราบว่าฮีตเตอร์ (Heater) เกิดการชำรุดหรือฮีตเตอร์ขาด (Heater Break) นั้น อาจทำให้ชิ้นงานเกิดความเสียหายไปแล้ว ส่งผลให้สูญเสียค่าใช้จ่ายหรือเสียเวลาในการตรวจหาว่าฮีตเตอร์ (Heater) ตัวไหนขาดอีกด้วย และยังมีสาเหตุและปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ฮีตเตอร์ขาด (Heater Break) โดยสรุปเป็นข้อ ๆ ดังนี้      1. การจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ไม่เหมาะสม เช่น ฮีตเตอร์ (Heater) 220V จ่ายแรงดัน 380V ทำให้เสียหาย      2. กำลังวัตต์ที่ไม่เหมาะสมกับขนาดฮีตเตอร์ เช่น ฮีตเตอร์รัดท่อ (Band Heater) ที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 5W/CM2 เป็นต้น      3. การเลือกใช้วัสดุที่ไม่เหมาะสมกับงาน เช่น ฮีตเตอร์ต้มน้ำ (Immersion Heater) นำไปใช้งานกับน้ำที่มีสารเคมี แต่เลือกใช้วัสดุที่ไม่สามารถทนต่อสารเคมีได้ สแตนเลส SUS304 เป็นต้น      4. คราบตะกรันติดที่ท่อฮีตเตอร์ เช่น ฮีตเตอร์ต้มน้ำ (Immersion Heater) ฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) ที่สะสม ถ้าไม่หมั่นทำความสะอาดจะทำให้การถ่ายเทความร้อนไม่ดี ทำให้ฮีตเตอร์ทำงานหนักขึ้น      5. อุปกรณ์ควบคุม เช่น Temperature Controller หรือ Thermostat ไม่ตัดการทำงาน ทำให้ฮีตเตอร์ (Heater) ทำงานตลอดเวลา      ดังนั้นทางผู้บรรยายจึงขอแนะนำอุปกรณ์ที่จะช่วยทางผู้ใช้งานประหยัดเวลาในการตรวจเช็ค อีกทั้งยังสามารถป้องกันและลดปัญหาชิ้นงานเสียหายได้อีกด้วย คือ อุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ (Heater Break Alarm) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาดโดยเฉพาะ เพื่อแจ้งให้ผู้ปฏิบัติงานทราบถึงความผิดปกติของฮีตเตอร์ (Heater) ก่อนที่จะทำให้สินค้าหรือไลน์การผลิตเกิดความเสียหายเกิดขึ้น (ดังรูป) อุปกรณ์สำหรับเช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) Model : CM-005N-4CH เครื่องแสดงผลค่ากระแสและสถานะของฮีตเตอร์ (Digital Monitor For Heater Break Alarm) Model : CM-005DN      ข้อดีของการใช้อุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ (Heater Break Alarm)      • ลดความเสียหายของสินค้าหรือชิ้นงานอันเนื่องมาจากฮีตเตอร์ขาด (Heater Break)      • ง่ายต่อการซ่อมบำรุงรักษา เนื่องจากทราบตำแหน่งฮีตเตอร์ (Heater) ที่เสียหายชัดเจน      • ป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อฮีตเตอร์ (Heater) ตัวอื่น ๆ ในเครื่องเดียวกัน ทำงานหนักชดเชยแทนตัวที่เสียหาย      • เข้าถึงหน้างานได้รวดเร็ว เพื่อลดความเสียหายของสินค้าหรือชิ้นงาน อันเนื่องมาจากฮีตเตอร์ขาด (Heater Break)      • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับเครื่องจักรและผู้ปฏิบัติงาน      • ประหยัดเวลาในการตรวจเช็คกรณีที่เกิดฮีตเตอร์ (Heater) ขาด หรือ Short Circuit เพราะสามารถดูได้จาก LED ที่กระพริบ หรือดูจาก Monitor ได้เลย      • Monitor และ Record ข้อมูลผ่าน MODBUS RTU RS-485 ได้      • ไม่ต้องต่อร่วมกับ CT (Current Transfomer) ภายนอก ทำให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้ได้      โดยในวันนี้ผู้บรรยายจะขอยกตัวอย่าง วิธีเช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break) ด้วยอุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) รุ่น CM-005N-4CH ต่อใช้งานร่วมกับเครื่องแสดงผล รุ่น CM-005D (Digital Monitor For Heater Break Alarm) เพื่อแสดงค่ากระแสของฮีตเตอร์ (Heater) กับเครื่องเทอร์โมฟอร์มพลาสติก และการใช้งานอุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) รุ่น CM-005N-4CH ต่อใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ในงานห้องอบสี ดังรูปตัวอย่าง      ตัวอย่างที่ 1 : ยกตัวอย่างวิธีเช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break) ด้วยอุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) รุ่น CM-005N-4CH ต่อร่วมกับเครื่องแสดงผล รุ่น CM-005D (Digital Monitor For Heater Break Alarm) กับ เครื่องเทอร์โมฟอร์มพลาสติก      จากรูป ตัวอย่างที่ 1 วิธีเช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break) ด้วยอุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) รุ่น CM-005N-4CH ต่อร่วมกับเครื่องแสดงผล รุ่น CM-005DN (Digital Monitor For Heater Break Alarm) กับเครื่องเทอร์โมฟอร์มพลาสติก โดยต่อใช้งานอุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) รุ่น CM-005N-4CH เพื่อเช็คฮีตเตอร์ (Heater) จำนวน 20 ตัว โดยแบ่งเป็นฮีตเตอร์ (Heater) จำนวน 5 ตัว ใน 1 ชุดการคอนโทรล ทั้งหมด 4 ชุดคอนโทรล และต่อร่วมกับเครื่องแสดงผล รุ่น CM-005DN (Digital Monitor For Heater Break Alarm) สำหรับตั้งค่ากระแส Heater Break โดยจะตั้งค่าให้ต่ำกว่าค่ากระแสจริงที่ฮีตเตอร์ทั้ง 5 ตัวที่ใช้งาน หากเกิดความผิดปกติฮีตเตอร์ (Heater) ตัวใดตัวนึงในชุดนั้นขาด อุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาดรุ่น CM-005N-4CH (Heater Break Alarm) ก็จะแจ้งเตือน Alarm ทันที โดยที่ไฟ Warning Light รุ่น TLW ก็จะติด พร้อมทั้งที่เครื่องแสดงผล CM-005DN จะโชว์สถานะและตำแหน่งที่ฮีตเตอร์เกิดผิดปกติ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถทราบและเข้าตรวจสอบได้ทันที      ตัวอย่างที่ 2 : ยกตัวอย่างวิธีเช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break) ด้วยอุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) รุ่น CM-005N-4CH ต่อใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ในงานห้องอบสี      จากรูป ตัวอย่างที่ 2 ยกตัวอย่างวิธีเช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break) ด้วยอุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) รุ่น CM-005N-4CH ต่อใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ในงานห้องอบสี โดยต่อใช้งานอุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) รุ่น CM-005N-4CH เพื่อเช็คฮีตเตอร์ (Heater) จำนวน 40 ตัว โดยแบ่งเป็นฮีตเตอร์ (Heater) จำนวน 20 ตัว ต่อ 1 ชุดการคอนโทรล ทั้งหมด 2 ชุดคอนโทรล โดยใน 1 ชุดการคอนโทรล จะทำการตรวจเช็คฮีตเตอร์ (Heater) 2 Group (1 Group = 10 Heater) และต่อใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ สำหรับตั้งค่ากระแส Heater Break พร้อมทั้งดูสถานะต่าง ๆ ของฮีตเตอร์ โดยจะตั้งค่ากระแส Heater Break ให้ต่ำกว่าค่ากระแสจริงที่ฮีตเตอร์ทั้ง 10 ตัวใช้งาน เมื่อเกิดความผิดปกติกับฮีตเตอร์ (Heater) ตัวใดตัวนึงในชุดนั้นขาด อุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาดรุ่น CM-005N-4CH (Heater Break Alarm) ก็จะแจ้งเตือน Alarm ทันที โดยที่ไฟ Warning Light รุ่น TLW ก็จะติด พร้อมทั้งที่หน้า Software จะโชว์สถานะและตำแหน่งที่ฮีตเตอร์เกิดผิดปกติ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถทราบและเข้าตรวจสอบได้ทันที      จากตัวอย่างข้างต้น ในการยกตัวอย่างวิธีเช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break) ด้วยอุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) รุ่น CM-005N-4CH ทั้งการต่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์แสดงค่ากระแสและสถานะของฮีตเตอร์ (Heater) รุ่น CM-005DN โดยอุปกรณ์แสดงค่ากระแสและสถานะของฮีตเตอร์ (Heater) รุ่น CM-005DN จะสามารถแสดงค่ากระแสและสถานะของฮีตเตอร์ (Heater) แต่ละตัวได้สูงสุดถึง 8 ตัว (ต่อเข้ากับ CM-005N-4CH 2 ตัว) และวิธีเช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break) ด้วยอุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) รุ่น CM-005N-4CH ต่อใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากกับเครื่องจักรที่มีการใช้งานฮีตเตอร์ (Heater) หลาย Zone เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะถ้าฮีตเตอร์ (Heater) เส้นใดเส้นหนึ่งขาดโดยที่ผู้ปฎิบัติงานไม่รู้จะทำให้ชิ้นงานเสียหายได้ ดังนั้นในวิธีการที่กล่าวมาข้างต้นสำหรับการเช็คฮีตเตอร์ขาดนั้น หวังว่าคงเป็นประโยชน์ให้กับผู้ใช้งานได้ไม่มากก็น้อย และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานฮีตเตอร์ (Heater) นั้น การเลือกใช้อุปกรณ์ต่อร่วมก็สำคัญเช่นกัน เช่น Temperature Controller, Solid State Relay, Temperature Sensor เป็นต้น      ดังนั้น จากที่ผู้บรรยายกล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปข้อดีของการลดปัญหาชิ้นงานเสียหายด้วยอุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) ดังนี้      1. ป้องกันชิ้นงานเสียหายอันเนื่องจากฮีตเตอร์ชำรุด ในกรณีที่ผู้ใช้งานฮีตเตอร์จำนวนหลายตัวในเครื่องเดียวในการให้ความร้อนกับชิ้นงาน      2. เพิ่มอายุการใช้งานของฮีตเตอร์ เช่น ในกรณีที่มีฮีตเตอร์ (Heater) ตัวใดตัวหนึ่งขาด คุณจะไม่สามารถทราบเลยว่ามีฮีตเตอร์ (Heater) ขาดเกิดขึ้น เพราะเนื่องจากอุณหภูมิที่ได้นั้นยังมีค่าเท่าเดิม แต่ผลลัพธ์คือการทำงานของฮีตเตอร์ตัวที่ใช้ได้มีการทำงานหนักขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อายุการใช้งานของฮีตเตอร์ (Heater) สั้นลง      3. ง่ายต่อการ Maintenance เพราะอุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) รุ่น CM-005N-4CH จะมี LED และ Alarm แสดงสถานะการขาดของฮีตเตอร์ (Heater) ทำให้ช่างทำการซ่อมหรือเปลี่ยนฮีตเตอร์ (Heater)ได้ทันที      4. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับเครื่องจักรและผู้ปฏิบัติงาน ไม่ต้องเสียเวลาในการตรวจเช็คความผิดปกติของฮีตเตอร์ (Heater)ให้ยุ่งยาก      ข้อแนะนำ : การออกแบบฮีตเตอร์ (Heater) และการเลือกประเภทของฮีตเตอร์ (Heater) ให้เหมาะสมกับลักษณะงานในอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ทำให้ช่วยลดปัญหาชิ้นงานเกิดความเสียหายได้ เช่น การใช้ฮีตเตอร์รัดท่อ (Band Heater) เพื่อให้ความร้อนแก่เครื่องฉีดพลาสติก, ฮีตเตอร์แผ่น (Strip Heater) เพื่อให้ความร้อนกับแผ่นแม่พิมพ์, ฮีตเตอร์ต้มน้ำ (Immersion Heater) เพื่อต้มน้ำมัน-ของเหลวหรือต้มสารเคมี, ฮีตเตอร์แท่ง (Cartridge Heater) เพื่อให้ความร้อนแก่แม่พิมพ์ในการอุ่นของเหลว-อุ่นกาว, ฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) เพื่อให้ความร้อนในการอุ่นของเหลว, ฮีตเตอร์ครีบ (Finned Heater) เพื่อให้ความร้อนกับอากาศในการอบแห้ง-ไล่ความชื้น, ฮีตเตอร์อินฟราเรด (Infrared Heater) ให้ความร้อนโดยการแผ่รังสี งานอบสี, อบขนม, อบอาหาร ฯลฯ โดยฮีตเตอร์ (Heater) สามารถนำมาใช้งานร่วมกับเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ (Temperature Sensor) เช่น Thermocouple, RTD Pt100, เครื่องควบคุมอุณหภูมิ (Temperature Controller) หรือ Thermostat, Solid State Relay เป็นต้น      อุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ (Heater Break Alarm) เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมประเภท ดังนี้      • อุตสาหกรรมพลาสติก       • อุตสาหกรรมยานยนต์       • อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม      • อุตสาหกรรมสิ่งทอ ฯลฯ      ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน เครื่องเทอร์โมฟอร์มพลาสติก เครื่องฉีดพลาสติก ห้องอบสีรถยนต์ Heater Break Alarm Heater ฮีตเตอร์ NTC/PTC Temperature Coefficient Digital Temperature Controller Digital Temperature Controller PID Control Function โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
การประยุกต์ใช้งานอุปกรณ์วัดอุณหภูมิและความชื้นแบบไร้สาย (Wireless Humidity & Temperature) สำหรับงานฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm)

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      ปัจจุบันงานด้านเกษตรกรรมมีปัจจัยที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ (Temperature), ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ (Relative  Humidity) ล้วนเป็นสิ่งสำคัญต่อกระบวนการในการเจริญเติบโตของผลผลิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในประเภทการทำการเกษตร, การเลี้ยงสัตว์, ฟาร์ม หรือโรงเรือนต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งจะต้องมีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้น (Humidity & Temperature) ต่าง ๆ เหล่านี้ ดังนั้นจึงได้มีการนำอุปกรณ์เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้นที่เรียกว่า Thermo-Hygrometer มาใช้วัดอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศบริเวณใดบริเวณหนึ่ง เพื่อควบคุมอุณหภูมิและความชื้นตามความเหมาะสม ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีการนำนวัตกรรมด้านงานเกษตรกรรมเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในด้านการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล Thailand 4.0 ที่เน้นเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม Value-Based Economy ในโครงการ Smart Farmer โดยทำให้เห็นความสำคัญการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจใน Thailand 4.0 ซึ่งเรื่องที่เป็นจุดเน้นมากที่สุดคือ กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น      Smart Farmer คือ เกษตรกรที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและระบบดิจิทัล นวัตกรรม รวมถึงข้อมูลหรือแนวคิดทางธุรกิจแบบใหม่ เพื่อผลักดันประสิทธิภาพการผลิตของตัวเองให้ได้มากที่สุด ภายใต้งบประมาณที่เหมาะสมที่สุด และต้องเข้าใจตั้งแต่กระบวนการผลิต การบริหารจัดการ เข้าใจธรรมชาติ และเข้าใจเทคโนโลยีในรูปแบบครบวงจร      แนวคิดของ Smart Farmer เพิ่มความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นอีก เนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยีและระบบดิจิทัล ที่ทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ IoT การใช้งาน Big Data การใช้งานโดรน หรือการใช้หุ่นยนต์รูปแบบต่าง ๆ ร่วมกับการเกษตรก็สามารถหาได้ง่ายขึ้น ต้นทุนลดต่ำลง      ตัวอย่างการใช้นวัตกรรมแบบไร้สาย (Wireless) ในงานเกษตรกรรมหรือฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm)      ดังนั้นในวันนี้ผู้บรรยายขอยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งในนวัตกรรมที่จะมาประยุกต์ใช้งานเกี่ยวกับงานฟาร์ม ในหัวข้อ “การประยุกต์ใช้งานอุปกรณ์วัดอุณหภูมิและความชื้นแบบไร้สาย (Wireless Humidity & Temperature) สำหรับงานฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm)” ว่ามีคุณสมบัติและมีประโยขน์อย่างไร? โดยใช้อุปกรณ์วัดอุณหภูมิและความชื้นแบบไร้สาย (Wireless Humidity & Temperature) ดังนี้ Wireless Humidity & Temperature Transmitter อุปกรณ์วัดความชื้นและอุณหภูมิในตัวเดียวกันแบบไร้สาย, Model : HM-007, Brand : PM      HM-007 : Wireless Humidity & Temperature Transmitter อุปกรณ์วัดความชื้นและอุณหภูมิในตัวเดียวกันแบบไร้สาย เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่วัดอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ในตัวเดียวกัน แล้วทำการส่งข้อมูลแบบไร้สายทุก ๆ 36 วินาที ไปยัง LoRaWAN Gateway ที่ต่อกับ Computer เพื่อเก็บข้อมูลเข้า Computer แสดงผลผ่าน Dashboard มีปุ่มสำาหรับส่งข้อมูลเพื่อเป็นการทดสอบระบบเครือข่าย LoRaWAN      นอกจากนี้ยังมีซอฟต์แวร์ Prisoft รองรับสำหรับการจัดการข้อมูลด้วย HM-007 เหมาะสำหรับงานที่ต้องการส่งค่าอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ระยะทางไกล และไม่ต้องเดินสายไฟ เช่น Smart Farmer, Food Industries, Smart Industries, Facilities Management และ Smart Building สะดวกต่อการใช้งาน Online ระบบตลอดเวลา ลดแรงงาน และให้ความถูกต้องในการจดบันทึก ประหยัดค่าใช้จ่าย      ตัวอย่างการใช้อุปกรณ์วัดอุณหภูมิและความชื้นแบบไร้สาย (Wireless Humidity & Temperature) ในโรงเรือน      ข้อดีการประยุกต์ใช้งานอุปกรณ์วัดอุณหภูมิและความชื้นแบบไร้สาย (Wireless Humidity & Temperature) สำหรับงานฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) ดังนี้      • ทำให้ผู้ใช้งานทราบถึงอุณหภูมิและความชื้นภายในโรงเรือน เพื่อป้องกันความเครียดจากความร้อนในสัตว์เนื่องจากสภาวะอากาศร้อน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในตัวสัตว์มีการเปลี่ยนแปลงระบบฮอร์โมนในร่างกายสัตว์ และทำให้สัตว์เกิดความเครียด ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ การกินอาหารลดลง และประสิทธิภาพในการผลิตลดลง เช่น อัตราเจริญเติบโต ประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์จากอาหาร ระบบการสืบพันธุ์ และอาจก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างร้ายแรง      • ลดความผิดพลาดในการจดบันทึกของผู้ปฏิบัติงาน      • ลดเวลาการทำงาน ลดแรงงาน      • สะดวกในการติดตั้ง เนื่องจากไม่ต้องเดินสายไฟไปยังคอมพิวเตอร์      • สามารถใช้งานได้ถึง 1000 Device ใน 1 Loop การใช้งาน      อุปกรณ์วัดอุณหภูมิและความชื้นแบบไร้สาย (Wireless Humidity & Temperature) สำหรับงานฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมประเภท ดังนี้      • ฟาร์ม, โรงเรื่อนต่าง ๆ      • เกษตรกรรม      • โรงงาน      • อาคาร, สำนักงาน ฯลฯ      ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน วัดและเก็บข้อมูลอุณหภูมิและความชื้นในฟาร์มหมู วัดและเก็บข้อมูลอุณหภูมิและความชื้นในฟาร์มไก่ วัดและเก็บข้อมูลอุณหภูมิและความชื้นในโรงเรืองเพาะปลูก I/O Modules I/O Modules LoRa Baseboard interface UART การสื่อสารแบบไร้สาย LoRaWAN WIFI TO RS-485/RS-232 CONVERTER SINGLE PHASE kWh-METER WITH LORA โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
ประเภทและการเลือกใช้มิเตอร์น้ำ (Water Meter) ในงานอุตสาหกรรมและอาคาร, ที่พักอาศัย

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      มิเตอร์น้ำ (Water Meter) หรือ มาตรวัดน้ำ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดปริมาตรของน้ำ โดยมิเตอร์น้ำ (Water Meter) จะทำหน้าที่วัดปริมาตรน้ำเมื่อมีการไหลผ่าน และส่งค่าที่ได้ไปที่หน้าปัดหรือหน้าจอแสดงผลซึ่งมีหลักการคำนวณและแปลงอัตราส่วนที่คำนวณได้เพื่อแสดงผลเป็นค่าที่ทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านได้เป็นสากล เช่น ปริมาตรหน่วยลิตร (Litre) หรือ ลูกบาศก์เมตร (Cubic meter) เป็นต้น   *** ข้อดี *** ของการใช้ มิเตอร์น้ำ (Water Meter) พร้อม communicaton modules M-BUS wired and wireless M-BUS - ลดการเดินจดข้อมูลตัวเลข สามารถอ่านข้อมูลผ่านระบบได้ สะดวกรวดเร็วกับผู้ใช้งาน          มิเตอร์น้ำ (Water Meter) จะมีอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คำนวณปริมาตรน้ำที่แตกต่างกันอยู่ภายใน ตามแต่ประเภทของ มิเตอร์น้ำ (Water Meter) หรือ มาตรวัดน้ำ อาทิ มาตรวัดน้ำแบบ Single Jet , มาตรวัดน้ำแบบ Multi Jet, มิเตอร์น้ำแบบ Piston และมาตรวัดน้ำที่ใช้หลักการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อน้ำไหลผ่านอุปกรณ์การวัดจะหมุน หรือคำนวณตามปริมาตรของน้ำที่ไหลผ่าน อุปกรณ์การวัดจะมีการเชื่อมต่อกับแกนหมุนตัวเลข หรือส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังชุดแสดงผลเพื่อจะแสดงค่าของปริมาณน้ำที่หน้าปัด เป็นต้น        ประเภทของมิเตอร์น้ำ (Water Meter) หรือมาตรวัดน้ำ   Single Jet Multi Jet Horizontal Woltmann Model : CPR-M3-I Model : GMB-I Model : WDE-K50   Electronic Pulse Emitter 1 Phase kWh Meter with RS-485 1 Phase kWh Meter with LORA Model : IWM-PL3/PL4 Model : KM-24-M Model : KM-24-L      โดยมิเตอร์น้ำ (Water Meter) หรือ มาตรวัดน้ำแต่ละประเภทอธิบายได้ดังนี้      • Single Jet Water Meter      มิเตอร์ประเภท Single Jet Water Meter นี้ จะใช้วัดความเร็วของกระแสน้ำที่ไหลผ่านใบพัด ซึ่งกำหนดความเร็วเอาไว้ ณ จุดหนึ่งที่จะสามารถทำให้ใบพัดหมุนตามทิศทางและความแรงของการไหลของน้ำ ส่งผลไปยังแกนหมุนที่เชื่อมต่อกับหน้าปัดตัวเลขทำให้สามารถระบุค่าปริมาณน้ำที่ไหลผ่านได้เหมาะ สำหรับใช้วัดน้ำที่มีปริมาณน้อยเพราะใบพัดไม่สามารถทนทานกับปริมาณน้ำมาก ๆ ได้ โดยสามารถเลือกรุ่นการใช้งานที่เหมาะสม มิเตอร์น้ำเย็น น้ำอุณหภูมิปกติ 0.1-50 องศาเซลเซียส และมิเตอร์น้ำร้อนอุณหภูมิ 30-90 องศาเซลเซียส จะเป็นมิเตอร์น้ำติดตั้งแบบเกลียว โดยจะมีตั้งแต่ขนาด 15mm. - 20mm. หรือท่อขนาด 1/2 นิ้ว ถึง 3/4 นิ้ว เป็นต้น   Single Jet Model : CPR-M3-I ลักษณะการติดตั้งของ Single Jet Model : CPR-M3-I      • Multi Jet Water Meter      มิเตอร์ประเภท Multi Jet Water Meter ส่วนประกอบของมาตรวัดน้ำจะประกอบด้วย ห้องวัดปริมาตรน้ำ โดยการทำงานส่วนของห้องวัดน้ำจะมีรูเล็ก ๆ เป็นแนวเฉียงรอบในพัด เพื่อให้น้ำไปหมุดใบพัด เมื่อมีกระแสน้ำมากระทบใบพัดที่มีแม่เหล็กเชื่อมต่ออยู่ ใบพัดจะหมุนและส่งแรงเหนี่ยวนำแม่เหล็กที่เฟืองอีกชิ้นหนึ่งให้เคลื่อนไหวตามไปด้วย ปรากฏเป็นตัวเลขที่เครื่องบันทึกปริมาตรน้ำ จะเป็นมิเตอร์น้ำติดตั้งแบบเกลียว โดยจะมีตั้งแต่ขนาด 15mm. - 50mm. หรือ ท่อขนาด 1/2 นิ้ว ถึง 2 นิ้ว เป็นต้น Multi Jet Model : GMB-I ลักษณะการติดตั้งของ Multi Jet Model : GMB-I      • Woltmann Water Meter      มิเตอร์ประเภท Woltmann Water Meter เป็นมิเตอร์ที่วัดปริมาตรของน้ำแบบแนวนอนและแบบแนวตั้งที่ไหลผ่านใบพัด เหมาะสำหรับการวัดน้ำปริมาณมากที่มีอัตราการไหลสูง ซึ่งเป็นที่นิยมใช้งานในงานประปา งานระบบน้ำขนาดใหญ่ ฯลฯ เมื่อน้ำไหลผ่านใบพัดของมิเตอร์โวลท์แมน ใบพัดจะหมุนตามแรงของน้ำ การหมุนนี้จะถูกส่งไปยังหน้าปัดที่จะแสดงผลด้วยการทดรอบอัตราส่วนของระบบเฟืองทำให้สามารถวัดปริมาณของน้ำหรือของเหลวที่ต้องการจะวัดได้ ประเภทมิเตอร์น้ำแบบ Woltman จะเป็นแบบหน้าแปลน มีขนาด 50mm. - 200mm.  หรือ ท่อขนาด 2 นิ้ว ถึง 8 นิ้ว เป็นต้น Woltmann Model : WDE-K50 ลักษณะการติดตั้งของ Woltmann Model : WDE-K50      นอกจากนี้ยังมีมิเตอร์ประเภทที่สามารถวัดค่าพลังงานทางไฟฟ้าแบบ 1 เฟส โดยสามารถแสดงผลการใช้นํ้าเป็นลูกบาศก์เมตร (m3) จาก Pulse ของ Water Meter ได้ ขอยกตัวอย่างรุ่น KM-24-M และ KM-24-L ที่มีทั้งการสื่อสารแบบ RS485 Modbus RTU Protocol และการสื่อสารแบบไร้สาย LoRaWAN ดังนี้      1 Phase kWh Meter with RS-485 มิเตอร์ประเภท 1 Phase kWh Meter with RS-485 เป็นมิเตอร์วัดค่าแรงดันไฟฟ้า (V), กระแสไฟฟ้า (A), กําลังไฟฟ้า (kW), พลังงานไฟฟ้า (kWh) และแสดงผลการใช้นํ้าเป็นลูกบาศก์เมตร (m3) จาก Pulse ของ Water Meter ได้ มี Input สําหรับรับ Pulse จาก Water Meter เพื่อส่งข้อมูลการใช้นํ้าเป็นลูกบาศก์เมตร ทำให้ประหยัดอุปกรณ์ในการต่อรวมกับ Software และประหยัดสายในการเชื่อมต่อเข้ากับระบบ โดยจะส่งข้อมูลการใช้ไฟฟ้าและการใช้น้ำไปพร้อมกัน ทําให้สะดวกต่อการใช้งาน Online ระบบตลอดเวลา ลดแรงงาน และให้ความถูกต้องในการจดบันทึก ประหยัดค่าใช้จ่าย แสดงผล 7-Segment LED แถวบนแสดงค่า Volt และ Amp สลับกันแถวล่างแสดงค่า kW, kWh และการใช้นํ้าเป็นลูกบาศก์เมตร (m3) สลับกันตลอดเวลา ใช้กับกระแสไฟฟ้าได้โดยตรงสูงสุดถึง 45A (ดังรูป)   1 Phase kWh Meter with RS-485 Model : KM-24-M ลักษณะการติดตั้งของ 1 Phase kWh Meter with RS-485 Model : KM-24-M      1 Phase kWh Meter with LORAWAN มิเตอร์ประเภท 1 Phase kWh Meter with LORAWAN เป็นมิเตอร์วัดค่าพลังงานไฟฟ้า 1 Phase แบบไร้สาย LoRaWAN (LoRa Meter, มิเตอร์วัดค่าทางไฟฟ้าและน้ำ, มิเตอร์สำหรับอะพาร์ตเมนต์) ส่งข้อมูลแบบไร้สายได้ไกลถึง 500 m. สําหรับในอาคาร และ 1000 m. สําหรับนอกอาคาร สามารถติดตั้งมิเตอร์ไร้สาย ทำให้ประหยัดค่าแรงในการเดินสายและลดอุปกรณ์ โดยจะส่งสัญญาณเข้าระบบ ผ่าน LoRa Gateway เป็นตัวรับสัญญาณเข้า Computer สามารถวัดและแสดงค่าแรงดันไฟฟ้า (V), กระแสไฟฟ้า (A), กําลังไฟฟ้า (kW), พลังงานไฟฟ้า (kWh) และแสดงผลการใช้นํ้าเป็นลูกบาศก์เมตร (m3) โดยรับ Pulse ของ Water Meter ได้ มี Input สําหรับรับ Pulse จาก Water Meter เพื่อส่งข้อมูลการใช้นํ้าเป็นลูกบาศก์เมตร (m3) ร่วมด้วย ให้ความถูกต้องในการจดบันทึก ประหยัดค่าใช้จ่าย แสดงผล 7-Segment LED แถวบนแสดงค่า Volt และ Amp แถวล่างแสดงค่า kW, kWh และการใช้นํ้าเป็นลูกบาศก์เมตร (m3) สลับกันตลอดเวลา ใช้กับกระแสไฟฟ้าได้โดยตรงสูงสุดถึง 45A   1 Phase kWh Meter with LORAWAN Model : KM-24-L ลักษณะการติดตั้งของ 1 Phase kWh Meter with LORAWAN Model : KM-24-L      นอกจากระดับความแม่นยำของมิเตอร์น้ำ (Water Meter) แต่ละชนิดที่ต้องคำนึงถึงแล้ว ทิศทางการไหลของน้ำหรือทิศทางการติดตั้งมาตรวัดน้ำยังเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอีกด้วย เพราะมิเตอร์น้ำ (Water Meter) หรือมาตรวัดน้ำบางประเภทจะมีประสิทธิภาพในการวัดได้เฉพาะการติดตั้งในแนวนอน จึงไม่สามารถเชื่อถือผลของมาตรวัดน้ำประเภทนี้ที่ได้รับการติดตั้งในแนวตั้งได้ ในขณะที่มิเตอร์น้ำ (Water Meter) หรือมาตรวัดน้ำบางประเภทสามารถติดตั้งได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังต้องคำนึงถึงขนาดของมิเตอร์น้ำ (Water Meter) หรือมาตรวัดน้ำ ที่ต้องเลือกให้มีความเหมาะสมกับปริมาณน้ำที่ต้องการวัดค่าและชนิดของน้ำที่ต้องการวัดค่าอีกด้วย เช่น น้ำที่จะวัดเป็นน้ำที่มีอุณหภูมิสูงหรือไม่? ต้องใช้มิเตอร์น้ำร้อนโดยเฉพาะหรือไม่? เป็นต้น      จากข้อมูลที่ผู้บรรยายได้กล่าวมาข้างต้นนั้น สามารถยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานมิเตอร์ประเภท 1 Phase kWh Meter with LORAWAN Model : KM-24-L ร่วมกับ Multi Jet Model : GMB-I ดังนี้        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานมิเตอร์ประเภท 1 Phase kWh Meter with LORAWAN Model : KM-24-L ร่วมกับ Multi Jet Model : GMB-I รูปแสดงตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานมิเตอร์ประเภท 1 Phase kWh Meter with LORAWAN Model : KM-24-L ร่วมกับ Multi Jet Model : GMB-I        การใช้งานมิเตอร์น้ำต่อร่วมกับ kWh Meter รุ่น KM-24-L โดยใช้งานเพื่อวัดค่าปริมาณการใช้น้ำและค่าไฟฟ้าได้ในตัวเดียว      ข้อดีของการเลือกใช้ของมิเตอร์น้ำ (Water Meter) ในงานอุตสาหกรรมและอาคาร, ที่พักอาศัย ที่เหมาะกับการใช้งาน มีดังนี้      • ต้องเป็นมิเตอร์น้ำที่มีมาตรฐาน ผ่านการชั่งตรวงวัด สำนักชั่งตวงวัดกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์      • ต้องเป็นมิเตอร์น้ำที่มีมาตรฐาน ผ่านการสอบเทียบโดยการประปา      • มีสัญญาณ Pulse Output เพื่อไปแสดงค่าให้กับอุปกรณ์อื่น หรือเก็บค่าการใช้น้ำเพื่อคิดค่าใช้จ่ายผ่าน Software ได้        เทคนิคการตรวจสอบดูแลมิเตอร์น้ำ (Water Meter) หรือ มาตรวัดน้ำด้วยตัวเอง      มิเตอร์น้ำ (Water Meter) หรือ มาตรวัดน้ำ  มีลักษณะการติดตั้งไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นบ้านพักอาศัยจะติดตั้งอยู่นอกบ้านหรือติดกับรั้วด้านในของบ้าน เพื่อสะดวกในการให้เจ้าหน้าที่การประปาอ่านค่าการใช้น้ำในแต่ละเดือนได้ง่าย แต่การที่ติดตั้งอยู่ด้านนอก ทำให้มิเตอร์น้ำนั้นต้องโดนทั้งแดดทั้งฝน และแต่ละยี่ห้อก็ผลิตจากวัสดุที่แตกต่างกัน มิเตอร์น้ำยี่ห้อไหนดีหรือไม่ดีนั้นจะส่งผลต่อคุณภาพและมาตรฐานที่ต่างกันด้วย เราจะมาดูกันว่าเรามีวิธีตรวจสอบมิเตอร์น้ำอย่างไรว่ายังใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ      • วาล์วเปิด-ปิดน้ำต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ทดสอบได้โดยการหมุนเข้าหมุนออกได้ปกติ      • ฝาปิดพับบนหน้าปัด ต้องไม่หักชำรุด      • สภาพของมิเตอร์น้ำไม่เป็นสนิม หรือมีคราบตะไคร่ คราบตะกรันเกรอะกรัง      • เลขบนหน้าปัดมิเตอร์น้ำมองเห็นได้ชัด หน้าปัดไม่ขุ่นเป็นฝ้าหรือมัว      • ไม่มีน้ำหยดออกมาตามข้อต่อต่าง ๆ หากพบการรั่วซึมต้องรีบดำเนินการแก้ไขโดยทันที เพราะหากปล่อยนานไปราคาค่าน้ำก็จะพุ่งสูงขึ้น        มิเตอร์น้ำ (Water Meter) หรือ มาตรวัดน้ำ เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมประเภทดังนี้      • คอนโดมิเนียม, หอพัก, ตึกอาคารสูง      • อุตสาหกรรมบ่อบำบัดน้ำเสีย      • โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานมิเตอร์น้ำ (Water Meter) หรือ มาตรวัดน้ำ   การต่อมิเตอร์น้ำร่วมกับ kWh Meter รุ่น KM-24-M การต่อมิเตอร์น้ำกับ Digital Counter รุ่น CMT-007A   โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
PLC ON CLOUD ได้อย่างไร?

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      PLC (Programmable Logic Controller) พีแอลซี คือ อุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องจักรแบบอัตโนมัติ โดยมีส่วนของ Input/Output และตัวประมวลผล  ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเราจะเห็นว่า พีแอลซี (PLC) มีวิวัฒนาการพัฒนามาเรื่อย ๆ ตั้งแต่การเขียนโปรแกรมใน PLC โดยใช้ Ladder Diagram PLC ที่เขียนลงกระดาษก่อนแล้วค่อยเขียนลงในตัว PLC โดยใช้ Keypad      ต่อมามีการพัฒนาเทคโนโลยีมาเรื่อย ๆ โดยการเขียน PLC สามารถเขียน Ladder Diagram ใน Computer PC ได้เลย รวมทั้งการใช้งาน PLC ร่วมกับ HMI (Human Machine Interface) ในการควบคุมเครื่องจักรผ่านหน้าจอแบบต่าง ๆ และพีแอลซี (PLC) สามารถเขียนโปรแกรมสร้างฟังก์ชั่นและเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อควบคุมการทำงานได้ตามความต้องการ ถ้าต้องการจะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการทำงานใหม่ก็สามารถทำได้โดยการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมเพียงเท่านั้น      จากบทความที่ผ่านมาในหัวข้อ “การต่อใช้งาน Analog Input กับ PLC” ที่ผู้บรรยายได้มีการแนะนำเกี่ยวกับประเภทของอินพุต (Input) / เอาท์พุต (Output) และการต่อใช้งานของ PLC รุ่น Vision130 ยี่ห้อ Unitronics ไว้พอแบบสังเขปเพื่อให้ท่านผู้อ่านเกิดความเข้าใจในเบื้องต้น โดยในวันนี้ผู้บรรยายจะมาแนะนำวิธีการเขียน PLC+HMI ขึ้น Cloud ว่ามีวิธีการเขียนอย่างไร? ในหัวข้อ “PLC ON CLOUD ได้อย่างไร?” Cloud ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ Cloud ในเบื้องต้นกันก่อน Cloud ย่อมาจาก Cloud Computing การประมวลผลระบบคลาวด์ ความหมายคือ เครื่องมือที่ทำหน้าที่เป็น Host บริการผ่าน Internet เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดเก็บข้อมูล, ดำเนินการ และจัดการข้อมูลต่าง ๆ ผ่าน Internet ได้ด้วยการประมวลผลระบบคลาวด์ที่มีชุดเซิร์ฟเวอร์และกลุ่มเซิร์ฟเวอร์ศูนย์ข้อมูลที่กระจายอยู่ทั่วโลกที่เราสามารถเก็บข้อมูลได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ ซึ่งประโยชน์หลัก ๆ ของการใช้ Cloud (Cloud Computing) ช่วยในการลดต้นทุนในการดูแลรักษาอุปกรณ์ไอที, กู้คืนความเสียหายของข้อมูลได้, มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล, สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ผ่านอุปกรณ์อื่นนอกจากคอมพิวเตอร์ เช่น มือถือ แท็บเล็ต เป็นต้น โดยการประมวลผลระบบคลาวด์สามารถแบ่งออกเป็นฟังก์ชั่นหลักที่แตกต่างกัน 3 ฟังก์ชั่น ได้แก่ โมเดลการให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐาน (IaaS), การให้บริการด้านแพลตฟอร์ม (PaaS) และการให้บริการด้านซอฟต์แวร์ (SaaS)      โครงสร้างระบบ Cloud (Cloud Computing)      จากโครงสร้างของ Cloud ที่กล่าวมาข้างต้น ผู้บรรยายขอยกตัวอย่างการแนะนำการเขียน Vision130 PLC+HMI Monitor On Cloud ว่ามีขั้นตอนอย่างไร? และมีข้อดีอย่างไร? โดยมี Feature ของ PLC Vision130 PLC+HMI ดังนี้ Vision130 PLC+HMI Monitor Feature ของ Vision130 PLC+HMI Monitor • I/O options include digital, analog, high-speed, temperature & weight measurement.   See tables below • Auto-tune PID, up to 24 independent loops • Recipe programs and data logging via data tables • Micro SD card-log, backup, clone & more • Function Blocks • Monochrome • Multi-language display • RS485/RS232 • 2 ports may be added : 1 Serial/Ethernet/Profibus and 1 CANbus • Built-in Alarm Screens      จากข้อมูล Feature PLC Vision130 PLC+HMI ข้างต้น สามารถนำมายกตัวอย่างในการเขียน Ladder Program ได้ดังนี้      ตัวอย่าง Ladder Vision130 PLC+HMI ในการควบคุมระบบบำบัดน้ำเสีย      จากภาพเป็นการเขียนคำสั่ง เปิดช่องทางการสื่อสารโดยใช้ Function Modbus TCP เพื่อในการเชื่อมต่อสื่อกับอุปกรณ์ เพื่อดึงข้อมูลจาก PLC ขึ้นไปยัง Cloud โดยใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อภายนอก โดยเราจะใช้อุปกรณ์ภายนอกในการเชื่อมต่อผ่าน Cloud โดยมีตัวอย่างการใช้ Vision130 PLC+HMI ร่วมกับ Cloud Box (ดังรูป)      ตัวอย่าง Vision130 PLC+HMI ใช้ร่วมกับ Cloud Box      จากรูปเป็นการใช้ PLC Vision130 ร่วมกับ Cloud Box  เพื่อแสดงค่าของของเครื่องบรรจุในไลน์การผลิต โดยดูค่าผ่านมือถือและคอมพิวเตอร์ การใช้งานง่าย ประหยัดเวลา สะดวกสบายในการดูข้อมูลย้อนหลังผ่าน Cloud      จากข้อมูลที่ยกตัวอย่างข้างต้นของ PLC Vision130 PLC+HMI Monitor On Cloud ทำให้ได้ทราบถึงข้อดีของวิธีการเขียน Vision130 PLC+HMI Monitor On Cloud ได้ดังนี้      • การ Wiring สายไม่ยุ่งยาก และตรวจสอบหรือซ่อมบำรุงได้ง่าย      • มีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า      • เพิ่มความสะดวกและความรวดเร็วในการใช้งาน      • มีความสามารถในการขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว      • เข้าถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ      • มีการบำรุงรักษาและความปลอดภัยสูง      • สะดวกในการดูและควบคุมโดยผ่านมือถือและคอมพิวเตอร์ได้ทุกที่ ทุกเวลา      ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน PLC+HMI ระบบบำบัดน้ำเสีย เครื่องชั้งกระสอบปาล์ม เครื่องทดสอบน้ำยาง      PLC+HMI Monitor On Cloud เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมประเภทดังนี้      • อุตสาหกรรมอาหาร  เช่น เครื่องบรรจุ  เครื่องฆ่าเชื้อโรคอาหาร       • อุตสาหกรรมยายนต์  เช่น  ไลน์การผลิต  ระบบตรวจสอบ       • อุตสาหกรรมการเกษตร  เช่น ระบบสมาร์ทฟาร์ม   โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
มาทำความรู้จักตู้ควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว สลับกันทำงาน (Transfer Pump) พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์ (Voltage Protection)

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      เครื่องควบคุมปั๊มน้ำหรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) เป็นอุปกรณ์ควบคุมปั๊มน้ำให้ทำงานสัมพันธ์กันระหว่างระดับของบ่อพักน้ำ (Water Well) และถังเก็บน้ำ (Water Tank) สามารถใช้ได้ทั้งระบบไฟ 1-Phase และ 3-Phase โดยมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของปั๊มน้ำ (Water Pump) ให้เป็นแบบอัตโนมัติ เช่น สั่งให้ปั๊มหยุดขณะปิดวาล์วหรือสั่งปั๊มหยุดการทำงานในขณะน้ำขาดหรือแรงดันต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ปั๊มน้ำเสียหายหรือปั๊มน้ำไหม้เกิดขึ้น ซึ่งเครื่องควบคุมปั๊มน้ำ (Pump Control) โดยทั่วไปจะใช้เซ็นเซอร์วัดระดับน้ำ (Level Sensor) ประเภทต่าง ๆ ในการติดตั้ง เช่น ติดตั้งโดยการใช้สวิตช์ลูกลอยตรวจจับระดับของเหลว (Level Switch), อุปกรณ์วัดระดับแบบก้านอีเล็คโทรด (Electrode Level Switch), สวิตช์ควบคุมแรงดัน (Pressure Switch) เป็นต้น        เครื่องควบคุมปั๊มน้ำหรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) สามารถแบ่งออกหลัก ๆ เป็น 3 ประเภทตามการใช้งาน      • Booster Pump คือ การรักษาแรงดันภายในระบบให้มีความคงที่สม่ำเสมอ โดยอาศัยการทำงานของ Pressure Switch เป็นตัวตัดต่อการทำงานระบบ Booster Pump ที่นิยมกันจะเป็นแบบทำงานสลับ และเสริมช่วยอีกตัวเพื่อใช้ปรับตั้งแรงดันตามความต้องการ ประกอบด้วยปั๊มน้ำจำนวน 2 ตัว สลับการทำงานและเสริมช่วยการทำงาน      • Transfer Pump คือ รับ-ส่งน้ำจากต้นทางไปยังปลายทาง หรือจากบ่อด้านล่างส่งไปบ่อด้านบน นิยมใช้กันมากในอะพาร์ตเมนต์ แมนชั่น หรืออาคารตึกสูง คอนโดฯ ประกอบด้วยปั๊มน้ำจำนวน 2 ตัว สลับการทำงานและเสริมช่วยการทำงาน ในกรณีที่มีการใช้น้ำมากเกินไปจะต้องมีปั๊มอีกตัวเพื่อช่วยกันทำงานหากปั๊มตัวที่หนึ่งทำงานไม่ทัน      • Drain Water Pump คือ เป็นการทำงานโดยจะวัดระดับน้ำเสียในบ่อเก็บโดยส่วนใหญ่จะใช้ลูกลอยแบบสายไฟ เนื่องจากน้ำมีความสกปรกมาก ไม่เหมาะกับก้านอิเล็กโทรด เช่น ในภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะมีสิ่งปฏิกูลหรือน้ำเสียเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตซึ่งจะต้องใช้ตัวปั๊มในการดูดน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วทิ้งออกไป        จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น ทางผู้บรรยายขอยกตัวอย่าง เครื่องควบคุมปั๊มน้ำหรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) แบบ Twin Pump Relay สำหรับควบคุมการทำงานของปั๊ม 2 ตัว (ดังรูป)   TWIN PUMP RELAY สำหรับควบคุมการทำงานของปั๊ม 2 ตัว Model : PM-021N-3 , Brand : Primus การทำงานสำหรับระบบ Water Supply with Electrode Level Switch      โดย TWIN PUMP RELAY ตัวอย่างรุ่น PM-021N-3 เป็นอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของปั๊ม 2 ตัว ให้สลับกันทำงาน (Transfer Pump) และสัมพันธ์กันระหว่างระดับของบ่อพักน้ำ (Water Well) และถังเก็บน้ำ (Water Tank) และสามารถเลือกการทำงานได้ทั้งแบบ Water Supply และ Drainage โดยยกตัวอย่างการทำงานสำหรับระบบ Water Supply ดังนี้      หลักการทำงานสำหรับระบบ Water Supply      1. เมื่อระดับน้ำในถังเก็บน้ำ (Water Tank) ลดต่ำลงถึงระดับ Probe M ของ Electrode B ที่ถังเก็บน้ำบนดาดฟ้า จะทำให้ Output ของ Pump 1 ทำงาน และสั่งให้ปั๊มตัวที่ 1 ทำงาน จนระดับน้ำในถังเก็บน้ำเพิ่มขึ้นจนถึงระดับ Probe H ของ Electrode B Output ของ Pump 1 หยุดทำงาน และสั่งให้ปั๊มหยุดทำงานด้วย      2. เมื่อน้ำในถังเก็บน้ำ (Water Tank) ลดต่ำลงถึงระดับ Probe M ของ Electrode B อีกครั้ง จะสลับให้ Output ของ Pump 2 ทำงาน และสั่งให้ปั๊มตัวที่ 2 ทำงาน จนระตับน้ำในถังเก็บน้ำเพิ่มขึ้นจนถึงระดับ Probe H ของ Electrode B อีกครั้ง Output ของ Pump 2 หยุดทำงาน และสั่งให้ปั๊มหยุดทำงานด้วย      3. ปั๊มทั้ง 2 ตัว จะสลับกันทำงานตลอดเวลาตามระดับของน้ำที่เพิ่มขึ้นและลดลง      4. ในกรณีที่ระดับน้ำในบ่อพักน้ำ (Water Well) มีระดับน้ำต่ำกว่าระดับ Probe L ของ Electrode A Output ของ Pump 1 และ Output Pump 2 จะ OFF เช่นกัน เพื่อป้องกันปั๊มเดินตัวเปล่าโดยไม่มีน้ำ        นอกจากนี้ TWIN PUMP RELAY รุ่น PM-021N-3 ยังมี Function Voltage Protection คอยตรวจจับความผิดปกติของแรงดันไฟฟ้า ซึ่งจะมีผลทำให้ปั๊มเสียหายได้ โดยทั้ง 2 ส่วน จะทำงานสัมพันธ์กัน คือ ระดับแรงดันไฟฟ้าจะต้องปกติ ปั๊มจึงจะทำงานได้ (Relay ON) มีให้เลือกทั้ง 1-Phase และ 3-Phase ดังนี้   การทำงานแบบ 1 Phase Under and Over Voltage Protection การทำงานแบบ 3 Phase Under and Over Voltage Protection      การทำงานแบบ 1 Phase Under and Over Voltage Protection และการทำงานแบบ 3 Phase Under and Over Voltage Protection โดยมีรายละเอียดดังนี้      • 1-Phase, Over and Under Voltage ถ้าแรงดันอยู่ระหว่าง Lower Limit และ Upper Limit ที่ตั้งไว้ Relay Output จะ ON และสั่งให้ปั๊มทำงาน แต่ถ้าแรงดันต่ำกว่า Lower Limit หรือสูงกว่า Upper Limit ที่ตั้งไว้ Relay Output จะ OFF และ LED จะแสดงสถานะความผิดปกติของแรงดัน      • 3-Phase, Over and Under Voltage, Phase Sequence and Phase Loss เมื่อแรงดันอยู่ในสภาวะปกติคืออยู่ระหว่าง Lower Limit และ Upper Limit ที่ตั้งไว้ ลำดับเฟสถูกต้องไฟมาครบทุกเฟส (R, S, T) Relay Output จะ ON และสั่งให้ปั๊มทำงาน แต่ถ้าแรงดันต่ำกว่า Lower Limit หรือ สูงกว่า Upper Limit หรือลำดับเฟสไม่ถูกต้อง หรือไฟไม่ครบทุกเฟส Relay Output จะ OFF และ LED จะแสดงสถานะความผิดปกติของแรงดัน        จากรายละเอียดของ TWIN PUMP RELAY รุ่น PM-021N-3 ที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น สามารถนำมาประกอบเป็นชุดตู้ควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว เราจะมาแนะนำกันในหัวข้อ “มาทำความรู้จักตู้ควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว สลับกันทำงาน พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์ (Voltatge Protection)”   ลักษณะด้านหน้าของตู้ควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว สลับกันทำงาน (Transfer pump) พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์ (Voltatge Protection) ลักษณะภายในตู้ควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว สลับกันทำงาน พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์ (Voltatge Protection)        จากรูปลักษณะภายในตู้ควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว สลับกันทำงาน พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์ (Voltatge Protection) โดยภายในตู้จะประกอบด้วยอุปกรณ์ดังนี้      • TWIN PUMP RELAY : PM-021N-3-3-230 อุปกรณ์ควบคุมการทำงานของปั๊ม 2 ตัว ให้สลับกันทำงาน (Transfer Pump) พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์ (Voltatge Protection)      • Breaker      • Magnetic + Overload      • Lamp โชว์สถานะต่าง ๆ หน้าตู้      • สามารถต่อใช้งานร่วมกับเซ็นเซอร์วัดระดับน้ำ (Level Sensor) ได้ทั้ง Electrode, Float Switch และ Pressure Switch เป็นต้น        ตัวอย่างการต่อใช้งานตู้ควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว สลับกันทำงาน (Transfer Pump) พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์ (Voltage Protection) ร่วมกับปั๊มน้ำ 2 ตัว เพื่อควบคุมระดับน้ำในอาคารหอพัก      จากตัวอย่างการต่อใช้งานตู้ควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว สลับกันทำงาน พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์ (Voltage Protection) ร่วมกับปั๊มน้ำ 2 ตัว เพื่อควบคุมระดับน้ำในอาคารหอพัก จะทำงานโดยจะมีก้าน Electrode ในการตรวจวัดระดับน้ำของบ่อพักน้ำด้านล่างตึก (Water Well) และถังเก็บน้ำด้านบนดาดฟ้า (Water Tank) และจะสั่งให้ปั๊มตัวที่ 1 ทำงาน เมื่อน้ำในถังบนต่ำกว่าระดับก้าน Electrode จนเมื่อปั๊มน้ำดูดมาเติมจนเต็มถึงระดับ ปั๊มตัวที่ 1 ก็จะหยุดการทำงาน และในการทำงานครั้งต่อไป ระบบจะสั่งสลับการทำงานให้ปั๊มตัวที่ 2 ทำงานแทน อีกทั้งเมื่อเกิดเหตุที่ใช้น้ำมากกว่าปกติ ระบบจะมี Function Booster ให้ปั๊ม 2 ตัวทำงานพร้อมกันเพื่อให้เพียงพอกับการใช้น้ำของคนบนตึก        จากข้อมูลข้างต้นของตู้ควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว สลับกันทำงาน (Transfer Pump) พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์ (Voltage Protection) ทำให้สามารถทราบข้อดีของการเลือกใช้ตู้ควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว (Twin Pump Control) ดังนี้      • มี Latching Relay ควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว สลับการทํางาน (Transfer Pump)      • สามารถควบคุมและเช็คระดับน้ำอยู่ในตัวเดียวกัน ทั้งถังพักน้ำด้านล่างใต้ดินและถังเก็บน้ำด้านบนดาดฟ้า      • มี Voltage Protection เช็คไฟตก-ไฟเกิน, Phase Sequence (ลำดับเฟส), Phase Loss (เฟสขาดหาย) เพื่อป้องกันปั๊มเสียหาย      • มี Function Booster ให้ปั๊ม 2 ตัวทำงานพร้อมกันเมื่อเวลาใช้น้ำมากกว่าปกติ      • สามารถรับ Level Sensor ได้ทั้ง Electrode, Float Switch และ Pressure Switch      • ลดการ Wiring สายไฟ ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งและประหยัดค่าใช้จ่าย       • สามารถทราบระดับน้ำภายในบ่อพักน้ำ (Water Well) และถังเก็บน้ำสำหรับใช้งาน (Water Tank) ขณะทำงานได้      • สามารถมองเห็นสถานะการทำงานของ Pump แต่ละตัวได้      • สามารถมองเห็นสถานะความผิดปกติของระดับน้ำ, Sensor, Voltage Protection      • สามารถ OFF เพื่อทำการตัดระบบการทำงานของปั๊มได้ ในกรณีที่ปั๊มตัวใดตัวนึงมีปัญหา        ตู้ควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว สลับกันทำงาน (Transfer Pump) พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์ (Voltage Protection) เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมประเภท ดังนี้      • คอนโดมิเนียม, หอพัก      • ตึกอาคารสูง      • อุตสาหกรรมบ่อบำบัดน้ำเสีย      • โรงงานอุตสาหกรรม        โดยทั่วไปเรามักจะพบเห็นตู้คอนโทรลปั๊มที่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์หลาย ๆ ตัว ภายในตู้คอนโทรล อาทิ มิเตอร์วัดแรงดัน (Voltmeter), มิเตอร์วัดกระแส (Ampmeter), มิเตอร์วัดชั่วโมงการทำงาน (Hour Counter), อุปกรณ์เช็คกระแสเกิน (Current Protection Relay), อุปกรณ์ป้องกันไฟตก-ไฟเกิน (Voltage Protection Relay), อุปกรณ์ป้องกันปั๊มน้ำเดินตัวเปล่า (Dry Run Protection Relay), อุปกรณ์ควบคุมระดับน้ำ (Level Control) เป็นต้น ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานต้องสิ้นเปลืองพื้นที่ในการติดตั้งภายในตู้คอนโทรล อีกทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายและเวลาในการจัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ Function ครบถ้วนตามที่ต้องการ ดังนั้นทางเราขอนำเสนอเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน คือ เครื่องควบคุมปั๊มน้ำหรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) หรือที่เรียกว่า เครื่องควบคุมปั๊มน้ำ 1 ตัว (Single Pump) และ2 ตัว (Twin Pump) พร้อมจอแสดงผล (Twin Pump Controller) รุ่น CM-015 Series ที่สามารถใช้ได้ทั้งระบบไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส เพื่อตอบโจทย์ในการใช้งาน โดยเครื่องควบคุมปั๊มน้ำพร้อมจอแสดงผล (Pump Controller) เป็นรูปแบบติดหน้าตู้ (Digital Pump Controller) ซึ่งมี Function ในการทำงานต่าง ๆ ครบถ้วนภายในตัว        เครื่องควบคุมปั๊มน้ำหรือปั๊มคอนโทรล (Pump Controller) ในระบบไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส   เครื่องควบคุมการทำงานของปั๊มน้ำ 1 ตัว (Single Pump Controller) Model : CM-015-1 , Brand : PM เครื่องควบคุมการทำงานของปั๊มน้ำ 2 ตัว (Twin Pump Controller) Model : CM-015-2 , Brand : PM      ข้อดีของการใช้งานเครื่องควบคุมปั๊มน้ำพร้อมจอแสดงผล (Pump Controller) รุ่น CM-015 Series สรุปได้ดังนี้      • ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง      • การ Wiring สายไม่ยุ่งยาก และตรวจสอบหรือซ่อมบำรุงได้ง่าย      • มี Function ในตัวเดียวกันหลากหลาย โดยไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์อื่นเพิ่ม      • ประหยัดงบประมาณ      • สามารถทราบระดับน้ำภายในบ่อพักน้ำ (Water Well) และถังเก็บน้ำสำหรับใช้งาน (Water Tank) ขณะทำงานได้      • สามารถมองเห็นสถานะการทำงานของ Pump แต่ละตัวได้      • สามารถมองเห็นสถานะความผิดปกติของระดับน้ำ, Sensor, Voltage Protection      • ในกรณีที่ปั๊มตัวใดตัวนึงมีปัญหา เราสามารถ OFF เพื่อทำการตัดระบบได้        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน Pump Control   คอนโดมิเนียม/หอพัก บ่อบำบัดน้ำเสีย โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
ไม่ได้ต่ออินพุตหรือสายอินพุตขาด (TIM-94N-4CH : 4 Channels Digital Indicator)

TIM-94N-4CH : 4 Channels Digital Indicator   ปัญหา : ไม่ได้ต่ออินพุตหรือสายอินพุตขาด     วิธีการแก้ไข : ต้องเช็คการต่ออินพุตและเช็คว่าสายอินพุตขาดหรือไม่

Image Alternative text
ไม่ได้ต่ออินพุตหรือสายอินพุตขาด (TIM-94N : Universal Input Digital Indicator)

TIM-94N : Universal Input Digital Indicator ปัญหา : ไม่ได้ต่ออินพุตหรือสายอินพุตขาด วิธีการแก้ไข : ต้องเช็คการต่ออินพุตและเช็คว่าสายอินพุตขาดหรือไม่

Image Alternative text
ไม่ได้ต่ออินพุตหรือสายอินพุตขาด (DEF-01-F1 : Mini Digital Refrigeration Temperature Controller)

DEF-01-F1 : Mini Digital Refrigeration Temperatue Controller   ปัญหา : ไม่ได้ต่ออินพุตหรือสายอินพุตขาด     วิธีการแก้ไข : ต้องเช็คการต่ออินพุตและเช็คว่าสายอินพุตขาดหรือไม่  

Image Alternative text
แนะนำการเขียน PLC Ladder ควบคุมลิฟต์ด้วย PLC+HMI Unitronics

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      PLC (Programmable Logic Controller) พีแอลซี อุปกรณ์สำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องจักรหรือระบบต่าง ๆ แบบอัตโนมัติ สามารถต่อเข้ากับอุปกรณ์ Input/Output ได้โดยตรง โดยสามารถเขียนโปรแกรมสร้าง Function และเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อควบคุมการทำงานได้ตามความต้องการ        PLC (Programmable Logic Controller) พีแอลซี สามารถออกแบบโปรแกรมเพื่อควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบให้เป็นไปตามเงื่อนไขได้หลากหลาย        ดังนั้น การออกแบบโปรแกรมให้เป็นระบบและมีโครงสร้างของโปรแกรมที่ดี ทำความเข้าใจได้ง่าย จะทำให้ระบบควบคุมอัตโนมัติมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด ไม่มีความผิดพลาดในการทำงาน และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังได้ง่าย รวดเร็ว ที่สำคัญประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอีกด้วย โดยขอยกตัวอย่าง PLC+MHI ยี่ห้อ Unitronics ดังนี้        PLC Unitronics เป็น PLC ที่มีทั้งตัว PLC และ HMI (PLC+HMI) อยู่ในตัวเดียวกัน และยังมีหน้าจอแสดงผลแบบต่าง ๆ ให้เลือกอีกหลายรูปแบบ เช่น หน้าจอสี, หน้าจอ LCD, หน้าจอแบบปุ่มกด (Keypad) และหน้าจอแบบ Touch Screen เป็นต้น (ดังรูป)        ตัวอย่าง PLC+MHI ยี่ห้อ Unitronics   UniStream PLC Vision Series PLC Samba Series PLC Jazz & M91 PLC UniStream PLC เน้นกับงานที่ใช้กราฟิก หน้าจอแบบ Touch Screen Vision PLC สามารถเก็บข้อมูล (Data logger) ได้ภายในตัวของ PLC เลย หน้าจอแบบ Touch Screen Samba PLC สามารถเก็บข้อมูล (Data logger) ได้ภายในตัวของ PLC เลย หน้าจอแบบ Touch Screen (ราคาถูก) Jazz and M91 PLC มีขนาดเล็กกะทัดรัด หน้าจอแบบ LCD      จากตัวอย่าง PLC+MHI ยี่ห้อ Unitronics ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการนำมาใช้งานในการควบคุม Solution ต่าง ๆ ที่ครอบคลุมทั้งระบบในงานอุตสาหกรรม เนื่องจาก PLC+HMI Unitronics มี Function Block และ Ladder ที่ง่ายต่อการเขียนโปรแกรม (ดังตัวอย่าง)   LD (Ladder Diagram) FBD (Function Block Diagram)      จากตัวอย่าง Function Block และ Ladder สำหรับการเขียนโปรแกรมแล้ว และในบทความนี้เราจะแนะนำทุกท่านเกี่ยวกับตัวอย่างการออกแบบโปรแกรมควบคุมการทำงานของลิฟต์ ที่มีใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในภาคงานอุตสาหกรรมและงานด้านที่พักอาศัย, คอนโดมิเนียม, อาคารสำนักงาน ในหัวข้อ “แนะนำการเขียน PLC Ladder ควบคุมลิฟต์ด้วย PLC+HMI Unitronics” ว่ามีขั้นตอนการเขียนคำสั่งอย่างไรบ้าง? โดยขั้นตอนแรกสำหรับผู้เริ่มรู้จักการการทำงานของระบบลิฟต์ โดยตัวอย่างจะเป็นการออกแบบลิฟต์ขนส่งสินค้า 2 ชั้น (ดังนี้)      ตัวอย่าง Diagram การควบคุมลิฟต์      จากวงจรการควบคุมลิฟต์ดังกล่าวสามารถนำมาเขียน Ladder PLC เพื่อใช้เป็นคำสั่งในการควบคุมลิฟต์ดังนี้        ตัวอย่าง Ladder PLC        ยกตัวอย่างการใช้ Ladder PLC and Function Linear จากรูปด้านบนจะเป็นตัวอย่างลิฟต์ขนสินค้า จำนวน 2 ชั้น โดยติดตั้ง Load cell เพื่อแจ้งเตือนเมื่อน้ำหนักเกิน โดยการเขียนจะเป็นการเขียนแบบง่าย โดยเมื่อกดปุ่มสตาร์ทจะเช็คตำแหน่งด้วย Limit แล้วสั่งให้มอเตอร์หมุนแบบ Forward จนถึงตำแหน่งและสั่งหยุดมอเตอร์ โดยมีการเขียนรับสัญญาณจากโหลดเซลล์โดยใช้ Function Linear ในการรับสัญญาณ 4-20 mA มาแปลงเป็นค่าน้ำหนักในการแจ้งเตือนเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า 200 Kg.        ข้อดีของการใช้ Function Block Ladder PLC ในการควบคุมลิฟต์      1. สามารถประยุกต์ใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ ให้มากขึ้น      2. กรณีการควบคุมขนาดเล็ก ง่ายต่อการออกแบบ      3. มีหน้าจอแสดงค่าน้ำหนัก แต่ตั้งค่าได้      4. ง่ายต่อการซ่อมบำรุงตรวจเช็ค เนื่องจากออกแบบโดยใช้ PLC        การประยุกต์ใช้งาน   เครื่องฉีดรองเท้าพียู เครื่องทดสอบการเดินเรือ ระบบบำบัดน้ำเสีย   Jazz Micro-OPLC Programmable Logic Control Vision Programmable Logic Control Vision Programmable Logic Control Switching Power Supply Relay Module โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
ลูกค้าตั้งค่าอินพุตไม่ตรง (2) (CM-004N : Digital Indicator)

CM-004N : Digital Indicator ปัญหา : ลูกค้าตั้งค่าอินพุตไม่ตรง (คลิกรูปภาพเพื่อชมคลิปวีดีโอ) วิธีการแก้ไข : ตั้งฟังก์ชั่น Loc ไว้ต้องเปลี่ยนให้เป็น 0 เพื่อที่จะทำการแก้ไขการตั้งค่าได้

Image Alternative text
ลูกค้าตั้งค่าอินพุตไม่ตรง (1) (CM-004N : Digital Indicator)

CM-004N : Digital Indicator ปัญหา : ลูกค้าตั้งค่าอินพุตไม่ตรง วิธีการแก้ไข : ต้องเช็คว่าอินพุตที่ตัวอุปกรณ์ได้รับเป็นอินพุตอะไร และตั้งค่าอินพุตที่ตัวอุปกรณ์ให้ตรงกัน เช่น รับอินพุต 4-20 mA ต้องเลือก Type Input 01

Image Alternative text
การเลือกวัสดุของ Thermocouple & RTD (PT100) ให้เหมาะสมกับอุณหภูมิการใช้งาน

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ (Temperature Sensor) คือ เซ็นเซอร์สำหรับงานวัดอุณหภูมิชนิดหนึ่ง ที่นิยมใช้ในงานอุตสาหกรรม ได้แก่ เทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple), อาร์ทีดี (RTD), เทอร์มิสเตอร์ (Thermistor) ซึ่งแต่ละประเภทมีหลักการทำงานและวัตถุประสงค์การวัดอุณหภูมิที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยส่วนใหญ่มักจะใช้เป็นเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ (Temperature Sensor) ชนิดเทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple) และอาร์ทีดี (RTD Pt100) เนื่องจากมีย่านการวัดอุณหภูมิที่กว้างและมีความแม่นยำ ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม เกษตรกรรม อาหาร เหล็ก พลาสติก แก้ว เคมีภัณฑ์ เป็นต้น แล้วเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ (Temperature Sensor) ทั้ง 2 ชนิดนี้จะเลือกใช้อย่างไร เหมาะกับงานแบบไหน ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple) และอาร์ทีดี (RTD Pt100) ทั้ง 2 ประเภทนี้กันก่อน ดังนี้        โครงสร้างและส่วนประกอบของเทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple)   โครงสร้างของเทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple) ส่วนประกอบของเทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple)      เทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple) หรือหัววัดอุณหภูมิ, เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ คือ อุปกรณ์วัดอุณหภูมิหรือเซ็นเซอร์สำหรับวัดอุณหภูมิ โดยใช้หลักการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิหรือความร้อนเป็นแรงเคลื่อนไฟฟ้า (emf) โดย Thermocouple ประกอบด้วยลวดโลหะตัวนำ 2 ชนิดที่แตกต่างกันทางโครงสร้างของอะตอม นำมาเชื่อมปลายทั้ง 2 เข้าด้วยกัน โดยเรียกปลายนี้ว่า Measuring Point หรือ Hot Junction (จุดวัดอุณหภูมิ) ซึ่งเป็นจุดที่ใช้วัดอุณหภูมิ และจะมีปลายอีกข้างหนึ่งของลวดโลหะปล่อยว่าง ซึ่งเรียกว่า Cold Junction (จุดอ้างอิง) ซึ่งหากจุดวัดอุณหภูมิและจุดอ้างอิงมีอุณหภูมิต่างกันก็จะทำให้มีการนำกระแสในวงจรเทอร์โมคัปเปิลทั้ง 2 ข้าง      โครงสร้างและส่วนประกอบของอาร์ทีดี (RTD Pt100) (Resistance Temperature Detector)   โครงสร้างของอาร์ทีดี (RTD Pt100) ส่วนประกอบของอาร์ทีดี (RTD Pt100)      อาร์ทีดี (PT100) (Resistance Temperature Detector : RTD) เป็นทรานสดิวเซอร์วัดอุณหภูมิ (Transducer Temperature) โดยอาศัยหลักการเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทานไฟฟ้าของวัสดุ จัดเป็นทรานสดิวเซอร์ประเภทพาสซีพ (Passive Transducer) การทำงานต้องอาศัยแหล่งจ่ายไฟภายนอกป้อนให้กับวงจร โดยค่าความต้านทานไฟฟ้าของวัสดุและอุณหภูมิแสดงความสัมพันธ์แบบแปรผันตรง โดยเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นค่าความต้านทานของโลหะจะมีค่าสูงขึ้น ในการใช้งานควรเลือกใช้วัสดุที่ค่าสัมประสิทธิ์ความต้านทานสูง เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิไปเพียงเล็กน้อยค่าความต้านทานของโลหะจะเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน      วัสดุที่นิยมใช้ทำ RTD ได้แก่ แพลตทินั่ม (Platinum) นิกเกิล (Nickel) และทองแดง (Copper) เป็นต้น ทองแดงและนิกเกิลเป็นวัสดุที่มีราคาถูก ประกอบง่าย จึงนิยมใช้งานในช่วงอุณหภูมิต่ำ โดยทั่วไปการใช้งานในอุตสาหกรรมและในห้องปฏิบัติการนิยมใช้ RTD ที่ทำมาจากแพลตทินั่มมากที่สุด เนื่องจากมีความเที่ยงตรง (Precision) และมีความเป็นเชิงเส้น (Linearity) สูงที่สุด แต่มีราคาค่อนข้างแพงเมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุชนิดอื่น        วันนี้เราจะมาดูหนึ่งในเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญอีกหนึ่งเรื่องสำหรับการเลือกใช้งาน Thermocouple / RTD นั่นก็คือการเลือกวัสดุของท่อให้เหมาะกับหน้างาน เพื่อทำให้หัววัดอุณหภูมิสามารถใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น ในหัวข้อ "การเลือกวัสดุของ Thermocouple & RTD (PT100) ให้เหมาะสมกับอุณหภูมิการใช้งาน"        โดยมีข้อพิจารณาในการเลือกวัสดุท่อของ Thermocouple หรือ PT100 เราจะต้องพิจารณาว่าต้องการวัดอุณหภูมิของของเหลวหรืออากาศ หากเป็นของเหลวแล้วเป็นของเหลวที่มีสารเคมีหรือไม่, อุณหภูมิที่ใช้วัดมีอุณหภูมิการใช้งาน ต่ำ-กลาง หรือสูงเป็น 1000 ํC เป็นต้น และข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นข้อมูลของวัสดุท่อที่เรานำมาผลิตเป็น Thermocouple และ RTD ดังนี้      • SUS304 เป็นสแตนเลสที่ใช้ในงานทั่วไป ไม่ขึ้นสนิม ลักษณะมันเงาสวยงาม สามารถทนต่อการกัดกร่อนได้ไม่สูงมากนัก สามารถขึ้นรูปเย็นและเชื่อมได้ดี      • SUS316 ใช้กับงานทนกรด ทนเคมี หรือเป็นเกรดที่มีปฏิกิริยากับกรดน้อย      • SUS316L คุณสมบัติเหมือนกับ SUS316 ทุกอย่าง ที่แตกต่างกันคือการทนการผุกร่อนได้สูงขึ้นในสภาวะที่มีการกัดกร่อนที่สูง เหมาะสำหรับงานอาหาร        • Sheath Thermocouple SUS316 (หรือ Mineral Insulated Thermocouple) คือ เทอร์โมคัปเปิลแบบที่ตัว Metal Sheath ผลิตสำเร็จรูป มีขนาดแกนเล็กและทนอุณหภูมิสูงกว่าแบบธรรมดามาก นิยมใช้ในกรณีอุณหภูมิกลางถึงสูงและต้องการความคงทน มีความยืดหยุ่นในการติดตั้งที่สามารถดัดได้หน้างานเพื่อให้เข้ากับลักษณะของงาน        • SUS310S แกน Stainless เป็นเหล็กกล้าไร้สนิมที่ทนการผุกร่อนในสภาวะที่มีการกัดกร่อนที่สูง ทนต่อแรงอัดและกรดด่างที่เป็นสารเคมีได้ดี ทนต่ออุณหภูมิที่จุดหลอมละลายได้สูงถึง 1100 ํC        • Inconel (Ni-CoNel) 600 จะสามารถทนความร้อนได้สูงถึง 1200 ํC ทนต่อการกัดกร่อนจากสารประกอบคลอไรด์ สารละลายด่างที่ทุกอุณหภูมิและความเข้มข้น ทนต่อกรดของสารกลุ่มฮาโลเจน, คลอรีน และกรดไฮโดรคลอริก (เหมาะสำหรับ Type K, R, S)        • Ceramic Alumina (วัสดุจากเซรามิค) นิยมใช้ในการวัดอุณหภูมิสูง เป็นวัสดุผสมทำมาจากดินอะลูมิน่า ทำให้วัดอุณหภูมิสูงได้ดีถึง 1600 ํC (เหมาะสำหรับ Type R, S)        • Silicon Carbide Tube (ซิลิกอนคาร์ไบด์) นิยมใช้ในการวัดอุณหภูมิสูง เหมาะสำหรับงานหลอมอลูมิเนียม วัดอุณหภูมิได้สูงและทนการกัดกร่อนได้ดีมาก วัดอุณหภูมิได้สูงถึง 1500 ํC ( เหมาะสำหรับ Type R, S)        การเลือกใช้เซ็นเซอร์ประเภทเทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple) หรือ อาร์ทีดี RTD (PT100) เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการวัดค่าอุณหภูมิ เนื่องจากแต่ละประเภทนั้นทำมาจากวัสดุที่แตกต่างกัน จึงทำให้มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานได้โดยตรง ดังนั้นในการเลือกใช้เทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple) หรืออาร์ทีดี RTD (PT100) ให้ได้ประสิทธิภาพนั้น การเลือกรูปแบบการต่อสายและลักษณะในการติดตั้งหน้างานก็เป็นส่วนสำคัญเช่นกัน โดย Thermocouple หรือ RTD (PT100) มีทั้งลักษณะแบบหัวกะโหลกและแบบออกสาย ดังตัวอย่างในตาราง   Thermocouple & RTD (PT100) แบบหัวกะโหลก Thermocouple & RTD (PT100) แบบออกสาย แบบเกลียว แบบเกลียวยกคอ (Sleeve) แบบหน้าแปลน Ferule แบบออกสาย แบบรัดท่อ แบบเขี้ยวล็อค      นอกจากนี้เซ็นเซอร์ประเภทเทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple) หรือ อาร์ทีดี RTD (PT100) ยังมีรูปแบบการติดตั้งหน้างานอื่น ๆ อีก เช่น รูปแบบ Thermocouple & RTD (PT100) แบบหัวกะโหลกมีเกลียว, RTD (PT100) แบบหัวกะโหลกปีกนก, Thermocouple & RTD (PT100) แบบหน้าแปลน, Thermocouple & RTD (PT100) แบบหน้าแปลนปีกนก, Thermocouple & RTD (PT100) แบบออกสาย, Thermocouple & RTD (PT100) แบบเขี้ยวล็อค, Thermocouple & RTD (PT100) แบบรัดท่อ, Thermocouple & RTD (PT100) แบบแกนสำเร็จ (Sheath) วัดอุณหภูมิสูงได้ดี สามารถดัดงอได้ ฯลฯ แล้วนั้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงอีกเรื่องคือ ชนิดของ Thermocouple & RTD (PT100) เช่น Thermocouple Type K, J, R, S, T, E, N รวมถึงวัสดุที่นำมาใช้ทำหัววัดอุณหภูมิ (Probe) อีกด้วย ในการวัดอุณหภูมิโดยที่ใช้งานร่วมกับเครื่องควบคุมอุณหภูมิ (Temperature Controller), เครื่องบันทึกอุณหภูมิ (Recorder), เครื่องแสดงผลอุณหภูมิ (Digital Temperature Indicator) เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการควบคุมอุณหภูมิ ดังตัวอย่างต่อไปนี้      ตัวอย่างการต่อใช้งาน Thermocouple Type K ร่วมกับ TMP-Series : Temperature Controller และ Solid State Relay ในการควบคุมความร้อนของ Heater ตัวอย่างการต่อใช้งาน Thermocouple Type K ร่วมกับ TMP-Series : Temperature Controller และ Solid State Relay ในการควบคุมความร้อนของ Heater        จากรูปตัวอย่างข้างต้น การต่อใช้งาน Thermocouple Type K แบบรุ่นแกนเซรามิค ร่วมกับ TMP-Series : Temperature Controller และ Solid State Relay ในการควบคุมความร้อนของ Heater ในงานเตาอบ        ตัวอย่างการต่อใช้งาน อาร์ทีดี (PT100) (Resistance Temperature Detector, RTD) ร่วมกับ TTM-007W Series : Temperature Controller และ Solid State Relay ในการควบคุมความร้อนของ Heater ในงานต้มน้ำ ตัวอย่างการต่อใช้งาน อาร์ทีดี (PT100) (Resistance Temperature Detector, RTD) ร่วมกับ TTM-007W Series : Temperature Controller และ Solid State Relay ในการควบคุมความร้อนของ Heater ในงานต้มน้ำ        จากรูปตัวอย่างข้างต้น การต่อใช้งาน RTD แบบรุ่นแกนสแตนเลส ร่วมกับ TTM-007W Series : Temperature Controller และ Solid State Relay ในการควบคุมความร้อนของ Heater ในงานต้มน้ำในอุตสาหกรรมอาหาร        ดังนั้น การเลือกวัสดุของ Thermocouple & RTD (PT100) ให้เหมาะสมกับอุณหภูมิการใช้งาน สามารถสรุปได้ดังนี้      • SUS304 เหมาะกับการใช้งานวัดอุณหภูมิ อากาศหรือของเหลวทั่วไป เช่น ของเหลวที่ไม่มีสารเคมี, วัดอากาศอุณหภูมิห้อง นิยมใช้กับทั้ง Thermocouple และ RTD      • SUS316 เหมาะกับการใช้งานวัดอุณหภูมิ อากาศหรือของเหลวที่มีกรดทางเคมี หรือเป็นเกรดที่มีปฏิกิริยากับกรดน้อย นิยมใช้กับทั้ง Thermocouple และ RTD      • SUS316L เหมาะกับการใช้งานวัดอุณหภูมิ สำหรับงานอาหาร/ยา นิยมใช้กับทั้ง Thermocouple และ RTD      • Sheath Thermocouple SUS 316 หรือ Metal Sheath ผลิตสำเร็จรูป เหมาะใช้ในกรณีอุณหภูมิกลางถึงสูงและต้องการความคงทน มีความยืดหยุ่นในการติดตั้ง เนื่องจากมีขนาดแกนเล็กกว่ารุ่นธรรมดา (มีเฉพาะ Thermocouple Type K และ J)      • SUS310S เหมาะกับการใช้งานวัดอุณหภูมิสูงถึง 1100 ํC เช่น งานเตาอบ นิยมใช้กับ Thermocouple Type K, R, S      • Inconel 600 เหมาะกับการใช้งานวัดอุณหภูมิสูงถึง 1200 ํC นิยมใช้กับ Thermocouple Type K, R, S เช่น งานเตาเผา      • Ceramic Alumina เหมาะกับการใช้งานวัดอุณหภูมิในอากาศที่อุณหภูมิสูง วัดอุณหภูมิสูงได้ดีถึง 1600 ํC นิยมใช้กับ Thermocouple Type R, S เช่น งานเตาเผา      • Silicon Carbide Tube (ซิลิกอนคาร์ไบด์) นิยมใช้ในการวัดอุณหภูมิสูง เช่น งานเตาหลอมอะลูมิเนียม วัดอุณหภูมิได้สูงถึง 1500 ํC นิยมใช้กับ Thermocouple Type R, S        การประยุกต์ใช้งาน Thermocouple & RTD (PT100)      • อุตสาหกรรมอาหารและยา      • อุตสาหกรรมผลิตขวดแก้ว      • อุตสาหกรรมหลอมทองแดง      • อุตสาหกรรมฉีดพลาสติก, อุตสาหกรรมโลหะ ปิโตรเคมี   อุตสาหกรรมผลิตขวดแก้ว อุตสาหกรรมฉีดพลาสติก อุตสาหกรรมอาหารและยา Temperature Sensor & Wire Single Phase Solid State Relay 3 Phase Solid State Relay Heater Heat Sink อุปกรณ์ระบายความร้อน โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK  

Image Alternative text
การประยุกต์ใช้งาน Digital Load Cell Transmitter ร่วมกับ PLC, Indicator, SCADA (DCS)

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      อุปกรณ์แปลงสัญญาณทางไฟฟ้า (Signal Transmitter) คือ อุปกรณ์แปลงสัญญาณทางไฟฟ้าทางด้านอินพุต (Input Signal) ให้เป็นสัญญาณอนาลอกมาตรฐาน (Analog Signal) ทางด้านเอาต์พุต (Output) เช่น 4-20mA, 0-10V เป็นต้น และสามารถรับอินพุตประเภท AC/DC Current, AC/DC Voltage, Resistance, Frequenc, RPM, Strain-Gauge และ Multi Input for Thermocouple, PT100 (RTD) ได้ โดยที่อินพุต-เอาต์พุตแยกอิสระจากกัน (Isolation) ทำให้ไม่เกิดการรบกวนสัญญาณต่อกัน และหากสัญญาณด้านอินพุต (Input) เกิดการช็อตก็จะไม่มีผลกระทบต่อสัญญาณด้านเอาต์พุต (Output) โดยประเภทของอุปกรณ์แปลงสัญญาณทางไฟฟ้า (Signal Transmitter) มีรูปแบบต่าง ๆ (ดังตาราง)        ตัวอย่างอุปกรณ์แปลงสัญญาณทางไฟฟ้า (Signal Transmitter) ยี่ห้อ PRIMUS   Signal Transmitter Programmable Signal Transmitter Digital Signal Transmitter Digital Loadcell Transmitter EM-Series EM-L, EM-LC IM-Series IM-G      โดยปัจจุบันเราสามารถพบเห็นอุปกรณ์แปลงสัญญาณทางไฟฟ้า (Signal Transmitter) ในงานด้านอุตสาหกรรม (ดังตาราง)        อุปกรณ์แปลงสัญญาณทางไฟฟ้า (Signal Transmitter) สามารถแบ่งตามประเภทของสัญญาณอนาลอกมาตรฐานทางไฟฟ้าได้ 2 ประเภท ดังนี้      1. สัญญาณกระแสไฟฟ้ามาตรฐานเป็นสัญญาณในรูปแบบของกระแสตรง (DC Current) 4-20mA คือ เมื่อวัดค่าที่ 0% กระแสที่ออกทางด้านเอาต์พุตจะได้ 4mA และเมื่อวัดค่าที่ 100% กระแสที่ออกทางด้านเอาต์พุตจะได้ 20mA (ดังตัวอย่างกราฟ) เป็นสัญญาณที่นิยมใช้กันอย่างมาก เนื่องจากสามารถส่งสัญญาณได้ระยะไกล และสัญญาณรบกวนจะน้อยกว่าสัญญาณที่เป็นแรงดันไฟฟ้า (ดังรูปกราฟที่ 1)   รูปกราฟที่ 1 แสดงตัวอย่างทางด้านเอาต์พุต รูปแบบของกระแสไฟฟ้า (DC Current) 4-20mA        2. สัญญาณแรงดันไฟฟ้ามาตรฐานเป็นสัญญาณในรูปแบบของแรงดันไฟฟ้า (DC Voltage) 0-10VDC คือ เมื่อวัดค่าที่ 0% กระแสที่ออกทางด้านเอาต์พุตจะได้ 0Vdc และเมื่อวัดค่าที่ 100% กระแสที่ออกทางด้านเอาต์พุตจะได้ 10Vdc (ดังตัวอย่างกราฟ) ซึ่งสัญญาณมาตรฐานแบบแรงดันนี้ไม่เหมาะกับการส่งสัญญาณระยะไกล เนื่องจากจะเกิดความต้านทานของสายสัญญาณขึ้นและทำให้เกิดสัญญาณรบกวนได้ง่าย (ดังรูปกราฟที่ 2)   รูปกราฟที่ 2 แสดงตัวอย่างทางด้านเอาต์พุต รูปแบบของแรงดันไฟฟ้า (DC Voltage) 0-10VDC        จากประเภทของสัญญาณอนาล็อกมาตรฐานทางไฟฟ้าดังกล่าว ยังมีอุปกรณ์แปลงสัญญาณทางไฟฟ้า (Signal Transmitter) ที่รับสัญญาณประเภทโหลดเซลล์ (Load Cell) เพื่อทำหน้าที่แปลงสัญญาณแรงดันไฟ DC จากวงจรโหลดเซลล์ (Load Cell) เป็นสัญญาณไฟฟ้า DCV หรือ DCmA โดยวันนี้ทางเราจะขอแนะนำอุปกรณ์แปลงสัญญาณประเภทโหลดเซลล์ (Load Cell Transmitter) เพิ่มเติม ในหัวข้อ "การประยุกต์ใช้งาน Digital Load Cell Transmitter ร่วมกับ PLC, Indicator, SCADA (DCS)" โดยขอยกตัวอย่างอุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณไฟฟ้ามาตรฐานแสดงผลแบบดิจิตอล (Digital Load Cell Signal Transmitter) ยี่ห้อ Primus รหัสสินค้า IM-G ดังต่อไปนี้        อุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณไฟฟ้ามาตรฐาน (Digital Load Cell Signal Transmitter) ยี่ห้อ Primus รหัสสินค้า IM-G รูปแสดงโครงสร้างภายในของวงจร Load Cell และตัวอุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์ เป็นสัญญาณไฟฟ้ามาตรฐาน (Digital Load Cell Signal Transmitter)        จากภาพอุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณไฟฟ้ามาตรฐาน (Digital Load Cell Signal Transmitter) ทำหน้าที่แปลงสัญญาณแรงดันไฟ DC จากวงจรภายในโหลดเซลล์ (Load Cell Circuit) หรือวงจรบริดจ์ (Bridge Circuit) เป็นสัญญาณไฟฟ้า DCV (0-10V) หรือ DCmA (4-20mA) โดยเซ็นเซอร์โหลดเซลล์ (Load Cell) จะถูกแปลงสัญญาณทางกลเป็นสัญญาณทางไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว โดยจะถูกรับจากแรงที่มากระทำ อาทิ แรงกด (Compression), แรงดึง (Force) หรือน้ำหนัก (Weight) ให้เปลี่ยนแปลงออกมาในรูปแบบของสัญญาณทางไฟฟ้า (mV/V) ซึ่งภายในโหลดเซลล์ (Load Cell) เกือบ 80% นั้น จะมีตัว Strain-Gauge จำนวน 4 ตัว อยู่ภายใน ซึ่งเป็นความต้านทานที่จะเปลี่ยนแปลงค่าไปตามแรงกดหรือแรงดึง โดยจัดเรียงในรูปแบบของวงจรบริดจ์ (Bridge Circuit) ดังรูปโครงสร้างข้างต้น        ซึ่งโดยปกติตัว Load Cell Transmitter จะมีทั้งรูปแบบของปุ่มปรับหมุน หรือแบบ Dip Switch เพื่อนำสัญญาณอนาล็อกมาตรฐาน (4-20mA, 0-10VDC) ทางด้านเอาต์พุตมาต่อใช้งานร่วมกับจอแสดงผล (Indicator) หรือเครื่องควบคุม (Controller) และ Load Cell Transmitter แสดงผลที่หน้าจอแบบดิจิตอล ซึ่งในหัวข้อนี้จะขอยกตัวอย่างอุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณไฟฟ้ามาตรฐานหรือโหลดเซลล์ทรานสมิตเตอร์แบบดิจิตอล (Didital Load Cell Transmitter) โดยการประยุกต์ใช้งานร่วมกับ PLC, Indicator, SCADA (DCS) ดังตัวอย่างต่อไปนี้        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานอุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณไฟฟ้ามาตรฐาน (Digital Load Cell Signal Transmitter) ร่วมกับ PLC ยี่ห้อ UNITRONICS รุ่น V1040 Touch Screen+HMI        จากภาพวงจรเป็นการแสดงการต่อวงจรระหว่าง Load Cell กับ Digital Load Cell Transmitter และ Digital Load Cell Transmitter กับ UNITRONICS รุ่น V1040 Touch Screen+HMI เพื่อส่งสัญญาณ Analog ของค่าน้ำหนักที่วัดได้ ณ ปัจจุบัน (Real Time) ไปใช้งานในการเขียนโปรแกรม PLC ต่อไป        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานอุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณไฟฟ้ามาตรฐาน (Digital Load Cell Signal Transmitter) ร่วมกับ Digital Indicator ยี่ห้อ Primus รุ่น TIM-94N และ Paperless Recorder ยี่ห้อ TOHO รุ่น TRM-20        จากภาพวงจรเป็นการแสดงการต่อวงจรระหว่าง Load Cell กับ Digital Load Cell Transmitter และ Digital Load Cell Transmitter โดยจะทำการแยกสัญญาณ Analog ออกเป็น 2 Channel ต่อเข้ากับ Paperless Recorder ยี่ห้อ TOHO รุ่น TRM-20 เพื่อบันทึกค่าน้ำหนักที่วัดได้ และ Digital Indicator ยี่ห้อ Primus รุ่น TIM-94N เพื่อแสดงค่าน้ำหนักที่วัดได้ ณ ปัจจุบัน (Real Time)        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานอุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณไฟฟ้ามาตรฐาน (Digital Load Cell Signal Transmitter) ร่วมกับ SCADA (DCCS)      จากภาพวงจรเป็นการแสดงการต่อวงจรระหว่าง Load Cell กับ Digital Load Cell Transmitter และ Digital Load Cell Transmitter ต่อเข้าระบบ SCADA (DCS)        สรุปข้อดีของการประยุกต์ใช้อุปกรณ์แปลงสัญญาณประเภทโหลดเซลล์ (Digital Load Cell Transmitter) ร่วมกับ PLC, Indicator, SCADA (DCS)      ข้อดีของการประยุกต์ใช้อุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณไฟฟ้ามาตรฐาน (Digital Load Cell Signal Transmitter)      • เป็นอุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณไฟฟ้ามาตรฐาน (Digital Load Cell Transmitter) ที่มีหน้าจอแสดงผลในตัว      • อินพุต-เอาต์พุตแยกอิสระจากกัน (Isolation) ทำให้ไม่เกิดการรบกวนของสัญญาณ      • ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง เนื่องจากมีขนาดบาง      • ลดการ Wiring สาย ทำให้ตู้คอนโทรล, ตู้ไฟฟ้า เป็นระเบียบ      • สะดวกในการซ่อมบำรุงและตรวจสอบ      • มี Option ให้เลือกใช้งาน เช่น เลือกสัญญาณ Analog มาตรฐาน 4-20mA, 0-10V ได้สูงสุดถึง 2 ช่องสัญญาณ และ RS-485 MODBUS RTU Protocol        การประยุกต์ใช้งานอุปกรณ์แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณไฟฟ้ามาตรฐาน (Digital Load Cell Signal Transmitter)      • เครื่องชั่งน้ำหนักหรือเครื่องแสดงค่าน้ำหนัก      • อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร      • อุตสาหกรรมพลาสติก      • อุตสาหกรรมยาง, โพลิเมอร์, ยางไฟเบอร์ ฯลฯ      • แปลงสัญญาณโหลดเซลล์เป็นสัญญาณไฟฟ้ามาตรฐาน ต่อใช้งานร่วมกับระบบ PLC, SCADA (DCS), Digital Indicator, Paperless Recorder        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน   ชั่งน้ำหนักบนสายพาน เครื่องน้ำหนักการให้อาหารสัตว์ในฟาร์ม ชั่งน้ำหนักบนสายพานและส่งสัญญาณไปยังระบบ SCADA (DCS) Digital Load Cell Indicator With Alarm S Type Load cell Single Point Load cell Comprssion And Tension Digital Frequency Meters With Alarm โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
หน้าจอแสดง ---- (TTM-i4N : Digital Temperature Controller)

TTM-i4N : Digital Temperature Controller ปัญหา : หน้าจอแสดง ----     วิธีการแก้ไข 1. เช็คการตั้งค่า Type อินพุตว่าตรงกับหัววัดอุณหภูมิหรือไม่ 2. เช็คหัววัดอุณหภูมิว่าเสียหรือไม่ เนื่องจากหน้าจอแสดงว่าไม่มีอินพุต

Image Alternative text
หน้าจอแสดง 888 (CMT-007A : Digital Counter)

CMT-007A : Digital Counter     ปัญหา : หน้าจอแสดง 888   วิธีการแก้ไข : ทำการรีเซ็ต Power Supply ใหม่ ถ้ารีเซ็ตแล้วไม่หายส่งสินค้ามาเช็คภาค Supply

Image Alternative text
ทำไมต้องเลือกใช้ Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller ในการควบคุมอุณหภูมิในตู้แช่หรือเครื่องทำความเย็น

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      Temperature Controller เครื่องควบคุมอุณหภูมิ ทำหน้าที่ในการประมวลผลสัญญาณ (Input) ที่รับเข้ามาจากตัวเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ (Temperature Sensor) เช่น Thermocouple, Pt100 หรือ Thermister ชนิด NTC, PTC เป็นต้น แล้วสั่งการให้เอาต์พุต (Output) ทำงาน เพื่อควบคุม Load เช่น ฮีตเตอร์ (Heater), วาล์ว (Valve) ในการเพิ่มหรือลดลงของอุณหภูมิให้ได้ตามค่าที่ตั้งไว้ และเพื่อควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในสภาวะคงที่ ที่ต้องการใช้ในงานนั้น ๆ ซึ่ง Temperature Controller มีรูปแบบวิธีการในการควบคุมอุณหภูมิที่แตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อ เช่น ระบบการควบคุมแบบ ON-OFF (ON-OFF Control), ระบบการควบคุมแบบ Fuzzy (Fuzzy Control), ระบบการควบคุมแบบ PID (PID Control) เป็นต้น โดยเครื่องควบคุมอุณหภูมิ (Temperature Controller) นิยมใช้ในโรงงานของประเภทอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร, เครื่องบรรจุภัณฑ์, เครื่องฉีดพลาสติก, อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์, อุตสาหกรรมเซรามิกส์ ฯลฯ แบ่งตามประเภทได้ดังนี้   ประเภทของ Temperature Controller เครื่องควบคุมอุณหภูมิ เครื่องควบคุมอุณหภูมิแบบอนาล็อก (Analog Temperature Control) ปรับค่าง่าย เป็นแบบเข็มหมุน เหมาะสำหรับวัดอุณหภูมิที่ไม่ต้องการความถูกต้องและแม่นยำมากนัก เนื่องจากโครงสร้างภายในใช้เพียงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีไมโครคอนโทรลเลอร์ (Microcontroller) ในการควบคุมหรือคำนวณ และไม่มีฟังก์ชั่นที่สามารถต่อเข้ากับอุปกรณ์อื่นในระบบควบคุมได้ เครื่องควบคุมอุณหภูมิแบบดิจิตอล (Digital Temperature Controller) นิยมใช้งานมาก เนื่องจากมีความเที่ยงตรงในการวัดสูง การตอบสนองได้ดีกว่าแบบอนาล็อก ควบคุมอุณหภูมิได้ทั้งร้อนและเย็น (Heat-Cool) และยังสามารถต่อเข้าร่วมกับอุปกรณ์อื่นเพื่อเก็บข้อมูลหรือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่าน RS485 ได้        จากประเภทของ Temperature Controller เครื่องควบคุมอุณหภูมิ จะเห็นได้ว่าหน้าที่หลัก ๆ คือ ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิเหมือนกันและใช้ในงานควบคุมอุณหภูมิทั่วไป แต่ในการเลือกใช้งานให้เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เช่น ถ้าหากเราต้องการควบคุมอุณหภูมิกับงานที่ต้องการ ควบคุมอุณหภูมิย่านติดลบหรือความเย็นจะเลือกใช้ Temperature Controller ประเภทใดจึงจะเหมาะสมกับหน้างาน โดยในวันนี้เราจะมายกตัวอย่างเครื่องควบคุมอุณหภูมิย่านติดลบหรือความเย็น หรือ Refrigerator Controller/Defrost Controller ยี่ห้อ Primus Model : DEF-01-Series สำหรับควบคุมอุณหภูมิในตู้แช่หรือเครื่องทำความเย็น โดยมีรายละเอียดดังนี้   Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller (DEF-01-Series) การแสดงผลหน้าจอ **Free Input Sensor NTC 6x50 mm. Wire 1 M. (10K)**        เครื่องควบคุมอุณหภูมิและแสดงผลแบบดิจิตอล สำหรับตู้แช่หรือเครื่องทำความเย็น (Digital Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller) เป็นเครื่องควบคุมอุณหภูมิสำหรับตู้แช่และระบบทำความเย็นที่มีขนาดเล็ก (Mini Temperature Controller) ช่วยให้ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งในตู้แช่หรือเครื่องทำความเย็น ที่มีฟังก์ชั่นการละลายน้ำแข็ง (Defrost) โดยการใช้เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิสำหรับเป็นอินพุต (Input) ให้กับตัว Temp Defrost Controller ประเภทนี้จะเป็น Thermister ชนิด NTC หรือ PTC ซึ่งสามารถวัดอุณหภูมิในย่านติดลบได้ดี (-40 ถึง 130 ํC) โดยใช้หลักการควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์ (Compressor) เพื่อใช้ในการเพิ่มความดันให้กับน้ำยาหรือสารทำความเย็น อาทิ ตู้แช่เย็น, ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้น, ระบบควบคุมความดัน พัดลม รวมถึงระบบทำความเย็นสำหรับอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันเราอาศัยระบบทำความเย็น (Refrigerator System) มาประยุกต์ใช้ในงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การผลิตอาหาร, การเก็บรักษาอาหาร, การแช่แข็ง, การทำความเย็นในตู้แช่, ห้องเย็น, โรงน้ำแข็ง เป็นต้น        โดยในวันนี้ทางเราขอนำเสนอข้อมูลและเหตุผลในการเลือกใช้เครื่องควบคุมอุณหภูมิสำหรับตู้แช่และระบบทำความเย็นขนาดเล็ก (Mini Temperature Controller) ที่เน้นในเรื่องของการควบคุมอุณหภูมิย่านติดลบหรือความเย็น เพื่อควบคุมปริมาณน้ำแข็ง เพราะการผลิตหรือเก็บรักษาอาหารหรือผลผลิตทางการเกษตรบางประเภทจะควบคุมให้มีความชื้นในอากาศสูง เพื่อรักษาให้อาหารหรือผักผลไม้ให้มีความสด ไม่เหี่ยวเฉา และช่วยลดปริมาณการเกิดน้ำแข็งที่ผิวคอยล์เย็น ในหัวข้อ "ทำไมต้องเลือกใช้ Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller ในการควบคุมอุณหภูมิในตู้แช่หรือเครื่องทำความเย็น"        ยกตัวอย่างรุ่น DEF-01-F3 (Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller) ในการควบคุมอุณหภูมิในตู้แช่, เครื่องทำความเย็น ที่มีประสิทธิภาพ โดยทำหน้าที่รับอินพุตจาก Thermistor NTC, PTC เซ็นเซอร์ที่วัดอุณหภูมิในย่านติดลบได้ดี (-40 ถึง 130 ํC) โดยใช้หลักการการควบคุมของ Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller สามารถควบคุมได้ทั้งระบบความร้อนและระบบทำความเย็น คือ      • การควบคุมแบบระบบความเย็น (Cooling) คือ Output จะทำงานเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าค่า Setpoint      • การควบคุมแบบระบบความร้อน (Heating) คือ Output จะทำงานเมื่ออุณหภูมิสูงกว่าค่า Setpoint        เครื่องควบคุมอุณหภูมิและแสดงผลแบบดิจิตอล สำหรับตู้แช่หรือเครื่องทำความเย็น (Refrigerator Controller, Defrost Controller) รุ่น DEF-01-F3 นอกจากนี้ยังมีระบบป้องกันแรงดันไฟตก-ไฟเกิน (Under-Over Voltage Protection) ภายในตัวเดียวกัน เพื่อป้องกันคอมเพรสเซอร์ (Compressor) เสียหายและช่วยลดการ Wiring สายไฟอีกด้วย        ตัวอย่าง DEF-01-F3 : Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller ในการควบคุมอุณหภูมิในตู้แช่, เครื่องทำความเย็น      Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller รุ่น DEF-01-F3 ใช้ควบคุมอุณหภูมิของห้องเย็น โดยมี Output ควบคุม Compressor, Defrost, FAN, Auxiliary ให้ใช้งาน และยังมี Accessories DEF-01-A3 เป็น Dongle Module for RS-485 เพื่อใช้เชื่อมต่อเข้ากับ Software เพื่อเก็บข้อมูลและแจ้งเตือน Alarm ผ่าน Line ได้ โดย Temp Defrost Controller รุ่น DEF-01-Series มี Function Alarm เป็นแบบ Deviation Alarm (ค่าที่ตั้งเปลี่ยนแปลงตาม Setpoint) และแบบ Absolute Alarm (ค่าที่ตั้งไม่เกี่ยวข้องกับ Setpoint) สามารถแจ้งเตือนอุณหภูมิได้ถึง 8 Function ดังนี้   1. Deviation High Low Band Alarm 2. Deviation value High Alarm 3. Deviation value Low Alarm 4. Deviation value High Low Range Alarm   5. Absolute High Low Band Alarm 6. Absolute High Alarm 7. Absolute Low Alarm 8. Absolute High Low Range Alarm        การทำงานของเครื่องควบคุมอุณหภูมิและแสดงผลแบบดิจิตอล สำหรับตู้แช่หรือเครื่องทำความเย็น (Digital Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller)        ระบบการละลายน้ำแข็ง (Defrost) สามารถสั่งงานได้จากปุ่มกด Digital Input หรือตามช่วงเวลาที่กำหนด และสามารถเลือกใช้การละลายน้ำแข็งได้ทั้งแบบ Electrical Heater หรือ Hot Gas        Digital Input สามารถตั้งให้รับอินพุตเพื่อใช้ทำหน้าที่ต่าง ๆ เช่น แสดงสัญญาณเตือนเริ่มการทำงานของระบบละลายน้ำแข็ง สวิตช์แรงดันหรือสวิตช์เปิด-ปิดประตู หรือม่าน เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถตั้งหน่วงเวลาก่อนการแจ้งเตือนได้อีกด้วย        Voltage Protection เป็น Function Over-Under Voltage Protection เพื่อเช็คแรงดันไฟฟ้าที่จ่ายให้กับระบบ โดยหากมีแรงดันไฟฟ้าที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าค่าที่ตั้งไว้ Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller รุ่น DEF-01-Series จะหยุดการทำงานทั้งหมดหลังจากเวลาที่ตั้งไว้ เพื่อป้องกันคอมเพรสเซอร์หรือระบบทำความเย็นเสียหาย        ดังนั้นการเลือกใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมกับงานถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าเราเลือกใช้อุปกรณ์ได้เหมาะสมกับงานจะส่งผลให้งานของเรานั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยทางเราได้สรุปมาเป็นหัวข้อหลัก ๆ ว่าทำไมต้องเลือกใช้ Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller ในการควบคุมอุณหภูมิในตู้แช่หรือเครื่องทำความเย็น ดังนี้      • เครื่องควบคุมอุณหภูมิตู้แช่, เครื่องทำความเย็น (Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller) ขนาดเล็กทะทัดรัด ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง      • มีระบบป้องกันแรงดันไฟตก-ไฟเกิน (Under-Over Voltage Protection) ในตัว เพื่อป้องกันคอมเพรสเซอร์ (Compressor) เสียหาย      • ลดการ Wiring สาย สะดวกในการซ่อมบำรุงและตรวจสอบ      • มี Dongle Terminal สำหรับเชื่อมต่อกับ Option Sensor Probe, RS-485 และสามารถคัดลอกพารามิเตอร์ไปยังตัวอื่น ๆได้      • Free Input Sensor NTC        การประยุกต์ใช้งานเครื่องควบคุมอุณหภูมิและแสดงผลแบบดิจิตอล สำหรับตู้แช่หรือเครื่องทำความเย็น (Digital Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller)   ระบบห้องเย็น ตู้แช่ ตู่แช่แข็ง Mini Digital Refrigeration Temperature Controller Converter,USB to RS-422/RS-485 Digital Temperature Controller PID Control Function Analog Temperature Controller Prisoft Primus โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
แนะนำเทคนิคง่าย ๆ การแก้ปัญหาที่พบบ่อยของสินค้าไฟฟ้าอุตสาหกรรม

Digital Counter & Target Counter • CMT-007A : Digital Counter (หน้าจอแสดง 888) Digital Indicator • CM-004N / CM-006N : Digital Indicator • CM-004N : Digital Indicator (ลูกค้าตั้งค่าอินพุตไม่ตรง 1) • CM-004N : Digital Indicator (ลูกค้าตั้งค่าอินพุตไม่ตรง 2) • CM-013 : Digital Load Cell Indicator with Alarm (หน้าจอแสดง Err.U) • TIM-94N : Universal Input Digital Indicator (ไม่ได้ต่ออินพุตหรือสายอินพุตขาด) • TIM-94N : Universal Input Digital Indicator (ปัญหาที่พบบ่อยของ Process Indicator รุ่น TIM-94N) • TCM-94N-1-A : Digital Ac Meter (True RMS) (ปัญหาที่พบบ่อยของอุปกรณ์วัดและแสดงผลค่ากระแส รุ่น TCM-94N-1-A) • TVM-94N-1-A / TVM-94N-2-A : Digital AC/DC Volt Meter • TIM-94N-4CH : 4 Channels Digital Indicator (ไม่ได้ต่ออินพุตหรือสายอินพุตขาด) I/O Module • PH-05 / PH-07 : Modbus RS-485 I/O Module (แนะนำการเชื่อมต่อ ESP8266 Mudule RS-485 เข้ากับ PH-05,PH-07,RM-012N-D) Multifunction Meter / Power Meter • KM-06N : 3 Phase Power and Energy Meter with RS-485 (การใช้ Arduino ติดต่อ Meter KM-06N ทำอย่างไร?) • KM-07 : Multifunction Power Meter (หน้าจอแสดงผลไม่ชัดเจน) • KM-18-1 : Data Logger for Energy Meter • KM-07-A-2 : Multifunction Power Meter Phase Protection & Dry Run Protection • VPM-D-Series :  Digital Voltage Protection Relay • PM-007 : Dry Run / Load Protection Relay RPM Meter • CM-001 / CM-001-L : Digital Tachometer Solid State Relay • PSA-A1 : Amplifier (Solid State Relay) (การขยาย Input/Output ของการใช้ Temperature Controller ได้น้อย) Temperature Controller • TMP-Series : Digital Temperature Controller PID Control Function (หน้าจอแสดง -Sb-) • TTM-i4N : Digital Temperature Controller (หน้าจอแสดง Err1) • TTM-i4N : Digital Temperature Controller (หน้าจอแสดง ----) • DEF-01-F1 : Mini Digital Refrigeration Temperatue Controller (ไม่ได้ต่ออินพุตหรือสายอินพุตขาด) • TTM-i4N : Digital Temperature Controller Timer & Timer Switch • PT-03 : Digital Timer (ตั้งค่าแล้วแต่ไม่นับเวลา)

Image Alternative text
หน้าจอแสดง Err1 (TTM-i4N : Digital Temperature Controller)

TTM-i4N : Digital Temperature Controller ปัญหา : หน้าจอแสดง Err1 วิธีการแก้ไข 1. เช็คการตั้งค่า Type อินพุตว่าตรงกับหัววัดอุณหภูมิหรือไม่ 2. เช็คหัววัดอุณหภูมิแล้วตรง แสดงว่า IC ภาคอินพุตเสีย ซ่อมไม่ได้เนื่องจากตัวอุปกรณ์ไม่สามารถถอดได้    

Image Alternative text
หน้าจอแสดง Err.U (CM-013 : Digital Load Cell Indicator with Alarm)

CM-013 : Digital Load Cell Indicator with Alarm ปัญหา : หน้าจอแสดง Err.U วิธีการแก้ไข : ทำการ Cal ใหม่ และเช็คค่า Linearization ตั้งค่า nO-00 ตั้งค่าต่ำสุด , nO-01 ตั้งค่าสูงสุด    

Image Alternative text
5 ข้อดี ของพาวเวอร์มิเตอร์ขนาดเล็ก พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นภายในตัว (Power Meter with Voltage Protection Relay)

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      Power Meter (พาวเวอร์มิเตอร์) คือ มิเตอร์ที่ใช้สำหรับวัดและวิเคราะห์ค่าพลังงานทางไฟฟ้า โดยสามารถแสดงค่าเป็นพารามิเตอร์และปริมาณพลังงานไฟฟ้าสำหรับระบบไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส เช่น การวัดแรงดันไฟฟ้า (V), กระแสไฟฟ้า (I), กําลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ (Reactive Power), กำลังไฟฟ้าจริง และ V (Line), V (Phase), A (Phase), kW, kVA, kVar, kWh, kVarh, PF, Hz, kW Demand Peak Demand, THD (Harmonic) เป็นต้น        โดยส่วนใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมจะนำตัวพาวเวอร์มิเตอร์ (Power Meter) ไปใช้วัดค่าพลังงานไฟฟ้าในกระบวนการผลิตโดยต่อใช้งานกับอุปกรณ์ต่อร่วม ประกอบด้วยซอฟแวร์ (Software), อุปกรณ์แปลงสัญญาณ RS-485 (Converter) ที่มีทั้งรูปแบบการสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless) เช่น Wi-Fi หรือ LoRaWAN เป็นต้น เพื่อนำข้อมูลด้านพลังงานมาใช้ในการวิเคราะห์ (Analysis) และเก็บบันทึกค่าได้ (Record) โดยนำข้อมูลที่ได้มาบริหารจัดการเพื่อไปใช้ในด้านการควบคุมหรือปรังปรุงการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด        Power Meter (พาวเวอร์มิเตอร์) วัดค่าพลังงานทางไฟฟ้าที่นิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมก็มีหลากหลายรูปให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสม ซึ่งเราขอนำเอาตัวอย่าง Power Meter หรือ Multifunction Meter สำหรับวัดค่าพลังงานทางไฟฟ้า ในระบบไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส ยี่ห้อ Primus แบบติดหน้าตู้ (Panel) และติดราง (Din Rail) มายกตัวอย่าง ดังนี้   Panel Power Meter (Size 96x96 mm.) 1 Phase Volt-Amp-PF-Hertz True RMS Din Rail Power Meter (Size 90x105 mm.) 1 Phase Volt-Amp-kW-kWh-Hz, PF with Protection Relay Panel Power Meter (Size 96x96 mm.) 3 Phase Volt-AmpP-kWh with Protection Relay KM-09-U KM-22-1-DI KM-23-P9      นอกจากการใช้พาวเวอร์มิเตอร์ (Power Meter) เพื่อวัดค่าพลังงานไฟฟ้าแล้ว ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมจำเป็นต้องมีระบบป้องกันไฟตก-ไฟเกิน (Under-Over Voltage) เพื่อป้องความเสียหายที่อาจจะเกิดกับอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่าง ๆ ที่มีความไวในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบไฟฟ้า เช่น ไฟกระชาก (Surge), ไฟเกินชั่วขณะ (Over Shoot), สัญญาณรบกวน (Noise), ฮาร์มอนิกส์ (Harmonic) เป็นต้น      ดังนั้นในวันนั้นเราจะมาแนะนำพาวเวอร์มิเตอร์ (Power Meter) ที่มีฟังก์ชั่นโวลท์เตจโปรเทคชั่น (Power Meter with Voltage Protection Relay) ภายในตัวเดียวกัน สำหรับวัดค่าพลังงานทางไฟฟ้าและป้องกันไฟตก-ไฟเกิน (Under-Over Voltage Protection Relay) เพื่อแจ้งเตือนหรือตัดต่อวงจรไฟฟ้าในระบบได้ทันท่วงที และนอกจากนี้ยังสามารถช่วยนับจำนวนการผลิตและวัดชั่วโมงการทํางานของระบบไฟฟ้าหรือเครื่องจักร (Hour Counter) ได้อีกด้วย (ดังตาราง)        พาวเวอร์มิเตอร์ขนาดเล็ก (72x72 mm.) พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นภายในตัว (Power Meter with Voltage Protection Relay)   1 Phase V-A Meter with Voltage Protection Relay 3 Phase V-A Meter with Voltage Protection Relay 1 Phase V-A-kW-kWh Meter with Voltage Protection Relay 3 Phase V-A-kW-kWh Meter with Voltage Protection Relay (Standard 7-Segment Display) 3 Phase V-A-kW-kWh Meter with Voltage Protection Relay (Full 7-Segment Display) KM-20-P7 (Size 72x72 mm.) KM-21-P7 (Size 72x72 mm.) KM-22-1-P7 (Size 72x72 mm.) KM-22-P7 (Size 72x72 mm.) KM-23-P7 (Size 72x72 mm.)        จากตารางของพาวเวอร์มิเตอร์พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่น (Power Meter with Voltage Protection Relay) ขนาดเล็ก (72x72 mm.) ยี่ห้อ Primus ข้างต้น โดยในวันนี้เราขอแนะนำข้อดีของการใช้ Power Meter with Voltage Protection Relay ซึ่งทางเราได้สรุปมาเป็นข้อ ๆ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทำความเข้าใจและสามารถเลือกใช้ Power Meter ได้ตามความเหมาะสม ในหัวข้อ 5 ข้อดี ของพาวเวอร์มิเตอร์ขนาดเล็ก (72x72 mm.) พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นภายในตัว (Power Meter with Voltage Protection Relay) กับฟังก์ชั่นโวลท์เตจโปรเทคชั่น (Voltage Protection Relay) โดยถูกออกแบบและพัฒนาให้มีฟังก์ชั่นโวลท์เตจโปรเทคชั่น (Voltage Protection Relay) อยู่ในตัวเดียวกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถดูค่า (Monitor), บันทึกค่า (Record), วิเคราะห์ (Analysis), ปรับปรุง (Edit), ควบคุม (Control) และดูแลคุณภาพพลังงานไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นจากสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าได้ สามารถช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับระบบ (System) หรือเครื่องจักร (Machine) ในกรณีที่ระบบไฟฟ้ามีสภาวะผิดปกติ (Under and Over Voltage, Phase Sequence, Phase Loss, Asymmetry Protection Relay, Under and Over Current Protection Relay) รวมไปถึงกระบวนการผลิต (Production Process) อีกทั้งยังประหยัดพลังงานและลดต้นทุนการซ่อมบำรุงได้เป็นอย่างดี        5 ข้อดี ของพาวเวอร์มิเตอร์ขนาดเล็ก (72x72 mm.) พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่นภายในตัว (Power Meter with Voltage Protection Relay)      1. ลดต้นทุนในการสั่งซื้ออุปกรณ์ Phase Protection (Under and Over Voltage, Phase Sequence, Phase Loss, Asymmetry Protection Relay, Under and Over Current Protection Relay), Hour Counter เพิ่ม      2. ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งที่ตู้ MDB, ตู้ไฟฟ้า เนื่องจากอุปกรณ์มีขนาดเล็ก (72x72 mm.) และมีฟังก์ชั่น Phase Protection, Hour Counter ครบจบเพียงในตัวเดียวกัน      3. ลดการ Wiring สายภายในตู้ MDB, ตู้ไฟฟ้า มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย      4. ง่ายในการซ่อมบำรุงและตรวจสอบ      5. พอร์ทสื่อสาร RS-485 เพื่อสื่อสารกับอุปกรณ์อื่น ๆ อาทิ Software, PLC หรือแปลงสัญญาณแบบไร้สาย Online ได้        จากข้อดีของการใช้พาวเวอร์มิเตอร์พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่น (Power Meter with Voltage Protection Relay) ขนาดเล็ก (72x72 mm.) ยี่ห้อ Primus ข้างต้น จึงสามารถนำข้อมูลมาเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างพาวเวอร์มิเตอร์ (Power Meter) กับ พาวเวอร์มิเตอร์พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่น (Power Meter with Voltage Protection Relay) ดังตาราง        ตารางเปรียบเทียบ พาวเวอร์มิเตอร์ (Power Meter) กับ พาวเวอร์มิเตอร์พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่น (Power Meter with Voltage Protection Relay)   ตัวอย่างการติดตั้งพาวเวอร์มิเตอร์ (Power Meter) พร้อมอุปกรณ์อื่น ๆ ภายในตู้คอนโทรล ตัวอย่างการติดตั้งพาวเวอร์มิเตอร์พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่น (Power Meter with Voltage Protection Relay) รุ่น KM-23-P7 เพียงตัวเดียวในตู้คอนโทรล 1. วัดได้ทั้งระบบ 1 Phase และ 3 Phase 2. วัดค่าพารามิเตอร์ทางไฟฟ้า เช่น V (Line), V (Phase), A (Phase), kW, kWh, PF, Hz, kW Demand, Peak Demand 3. ไม่มี Function Phase Protection 4. ไม่มี Function Hour Counter 5. Communication : MODBUS RTU RS485 6. Installation : แบบ Panel ขนาด 96x96 mm.   1. วัดได้ทั้งระบบ 1 Phase และ 3 Phase 2. วัดค่าพารามิเตอร์ทางไฟฟ้า เช่น V (Line), V (Phase), A (Phase), kW, kWh, PF, Hz, kW Demand, Peak Demand เป็นต้น 3. Function Phase Protection : Under and Over Voltage, Under and Over Current, Phase Sequence, Phase Loss, Asymmetry Protection Relay 4. Function Hour Counter : สำหรับนับชั่วโมงการทำงานของเครื่องจักรเพื่อทำการซ่อมบำรุงครั้งต่อไป 5. Function Counter : สำหรับวัดค่าพลังงาน (kWh) ต่อชิ้นงานที่ผลิตได้ เพื่อวิเคราะห์ต้นทุนในการผลิต 6. Communication : MODBUS RTU RS485 7. Installation : แบบ Panel ขนาดเล็ก 72x72 mm. ทำให้ตู้คอนโทรลเล็กลง ประหยัดต้นทุน      จากการสรุปข้อดีและข้อมูลการเปรียบเทียบของการใช้พาวเวอร์มิเตอร์พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่น (Power Meter with Voltage Protection Relay) ภายในตัวเดียวกัน ทางเราขอยกตัวอย่างการต่อใช้งานพาวเวอร์มิเตอร์พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่น (Power Meter with Voltage Protection Relay) รุ่น KM-23-P7 (ขนาดเล็ก 72x72 mm.) เพื่อวัดและวิเคราะห์ค่าพลังงานทางไฟฟ้าพร้อม Voltage Protection Relay ในกระบวนการผลิตอาหาร      การต่อใช้งานพาวเวอร์มิเตอร์พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่น (Power Meter with Voltage Protection) รุ่น KM-23-P7 ในการวัดและวิเคราะห์ค่าพลังงานทางไฟฟ้าพร้อม Voltage Protection เพื่อป้องกันมอเตอร์ในเครื่องจักร      การใช้งานพาวเวอร์มิเตอร์พร้อมโวลท์เตจโปรเทคชั่น (Power Meter with Voltage Protection) รุ่น KM-23-P7-A โดยจะใช้วัดค่าพลังงานไฟฟ้าของเครื่องจักรเพื่อวิเคราะห์การกินพลังงานไฟฟ้าและป้องกันไฟตก-ไฟเกิน (Under -Over Volatge) ของระบบไฟฟ้า เพื่อสั่งตัดการทำงานของมอเตอร์ไม่ให้เสียหาย        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานพาวเวอร์มิเตอร์ (Power Meter)   KM-22-1-P7-A KM-21-DI-A วัดพลังงานไฟฟ้า การใช้ไฟฟ้า ใช้ควบคุมตู้ MDB MULTIFUNCTION POWER METER RS-485 DATA LOGGER DIGITAL REMOTE DISPLAY PANEL Signal Tower Light ROTATION WARNING LIGHT โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
วิธีการออกแบบกราฟิกบนหน้าจอ PLC Touch Screen แบบง่าย ๆ

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      PLC (Programmable Logic Controller) โปรแกรมเมเบิลลอจิกคอลโทรลเลอร์ : พีแอลซี หรือ PLC+HMI เป็นอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของเครื่องจักรแบบอัตโนมัติ หรือกระบวนการทำงานต่าง ๆ ของการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม โดยภายในมี Microprocessor เป็นมันสมองสั่งการที่สำคัญ PLC จะมีส่วนที่เป็นอินพุต (Input) และเอาต์พุต (Output) ที่สามารถต่อออกไปใช้งานได้ทันที มีรูปแบบหน้าจอแสดงผลต่าง ๆ เช่น PLC จอแสดงผลชนิดตัวอักษร, PLC จอแสดงผลชนิด TFT ความละเอียดสี 65,536สี+LED BACKLIGHT, PLC จอแสดงผลแบบ Touch Screen ที่ถูกออกแบบให้แสดงผลเป็นรูปภาพ (Picture), กราฟิก (Graphics), ตัวเลข (Number) และกราฟเส้น (Line Graph) เป็นต้น ซึ่ง PLC มีทั้งรุ่นราคาถูกจนไปถึงราคาที่คุ้มค่ากับการลงทุน และสามารถเลือกตามงบประมาณได้  โดยในวันนี้เราจะมาแนะนำและทำความรู้จักกับหน้าจอ PLC Touch Screen ที่มีความทันสมัย มองเห็นภาพได้ชัดเจน เนื่องจาก PLC ประเภท Touch Screen ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมและมีการติดต่อสื่อสารกับเครื่องจักรได้ง่ายขึ้น ทำให้เป็นที่นิยมถูกนำมาใช้งานในอุตสาหกรรมได้หลากหลาย แบ่งตามประเภทต่าง ๆ ดังนี้      หน้าจอ PLC Touch Screen ชนิดของจอสี (Color) และขาวดำ (Monochrome) SAMBA Vision Color OPLC Vision Color Touch Screen OPLC Vision Color Touch Screen OPLC Vision Graphic / Touch Screen OPLC Unistream Color Touch Screen OPLC SM-Series V570-Series V1040-Series V280-Series V530-Series USP-Series Samba PLC (PLC+HMI) สามารถเก็บข้อมูล (Data Logger) ได้ภายในตัวของ PLC เลย หน้าจอแบบ Touch Screen Vision PLC (PLC+HMI) สามารถเก็บข้อมูล (Data Logger) ได้ภายในตัวของ PLC เลย มีหน้าจอแบบ Touch Screen UniStream PLC (PLC+HMI) เน้นกับงานที่ใช้กราฟิก หน้าจอแบบ Touch Screen      คุณสมบัติหน้าจอ PLC Touch Screen      Touch Screen คือการสามารถที่จะทำการซ้อนหรือเลื่อนหน้า (Screen) หรือ Page ในแต่ละหน้าได้ ทำให้เราประหยัดพื้นที่ในการเพิ่มฟังก์ชันของเครื่องจักรได้มากขึ้น และใช้การติดต่อสื่อสารแบบ 232/485 เป็นส่วนใหญ่  ก็สามารถที่ติดต่อ Operation Panel เข้ากับ PLC ได้แล้ว โดยการใช้งาน Touch Screen ร่วมกับ PLC มีอยู่ 3 ส่วนประกอบหลัก ๆ คือ      • ตัว Touch Screen / หน้าจอ Touch Screen      • Cable Link      • Software ซึ่งส่วนนี้จะทำหน้าที่เป็น Screen Editor ซึ่งการออกแบบกราฟฟิกหรือระบบต่าง ๆ ก็จะทำบน Screen Editor นี้ เมื่อข้อมูลครบถ้วนถูกต้องสมบูรณ์แล้วก็จะทำการโหลดข้อมูลเข้าสู่ทัชสกรีน (Touch Screen) หรือจะเป็นการแก้ไขได้แบบ Online ก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการออกแบบตัว Screen Editor นั่นเอง      การทำงานของ Touch Screen ร่วมกับ PLC ก็คือการรับส่งข้อมูลของข้อมูลต่าง ๆ ที่เข้ามาใน PLC ไม่ว่าจะเป็น Input, Output หรือ Relay มาแสดงผลเป็นภาพกราฟิก (Graphic), รูปภาพ (Picture), ตัวเลข (Number) หรือแสดงผลอื่น ๆ ในรูปแบบบนจอ Touch screen ซึ่ง Register เหล่านี้จะสัมพันธ์กับ Ladder Diagram ที่เราได้โปรแกรมไว้ใน PLC หรือในส่วนของสัญลักษณ์ (Symbol) ก็จะนำข้อมูลของ Register ที่เรากำหนดไว้นั้นมาแสดงด้วยเช่นกัน โดยสามารถนำหน้าจอ PLC Touch Screen มาออกแบบกราฟิกเองได้  ซึ่งเราจะมาแนะนำตัวอย่างการออกแบบกราฟิกแบบง่าย ๆ มาฝากกัน ในหัวข้อ “วิธีการออกแบบกราฟิกบนหน้าจอ PLC Touch Screen แบบง่าย ๆ” โดยใช้ PLC Touch Screen ดังตัวอย่างต่อไปนี้      ตัวอย่างการออกแบบหน้าจอแสดงผล ด้วยการใส่รูปภาพ (Picture), กราฟิก (Graphics), ตัวเลข (Number) และกราฟเส้น (Line Graph) ผ่าน Software ดังนี้ ตัวอย่างการออกแบบการเขียนคำสั่งควบคุมอุณหภูมิในตู้อบ พร้อมหน้าจอแสดงผล PLC+HMI แบบ Touch Screen รุ่น V1040      จากรูปตัวอย่าง การออกแบบการเขียนคำสั่งควบคุมอุณหภูมิในตู้อบ พร้อมหน้าจอแสดงผล PLC+HMI แบบ Touch Screen รุ่น V1040 เป็นการสร้างหน้าจอกราฟิก เพื่อโชว์ระดับของเหลวในถังทั้งสองใบ รวมถึงการเขียนโปรแกรมรับสัญญาณอนาล็อก (Analog Signal) ที่เป็นระดับของเหลว โดยใช้เป็นสัญญาณ 4-20 mA แล้วทำมาเขียนเป็นสัญญาณ Linearization ตัวอย่างการออกแบบการเขียนคำสั่งการแสดงผล Line การผลิต พร้อมหน้าจอแสดงผล PLC+HMI แบบ Touch Screen รุ่น V570      จากรูปตัวอย่าง การออกแบบการเขียนคำสั่งการแสดงผล Line การผลิต พร้อมหน้าจอแสดงผล PLC+HMI แบบ Touch Screen รุ่น V570 เป็นตัวอย่างของกระบวนการต้มน้ำหรืออุ่นวัตถุดิบในถังจากนั้นนำมาบรรจุของในขวด โดยใช้ PLC V570 เป็นตัวอย่างของการเขียน Ladder เพื่อควบคุมอุณหภูมิแบบ ON-OFF      จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปข้อดีของการใช้ PLC+HMI แบบหน้าจอ Touch Screen ได้ดังนี้      • สามารถออกแบบกราฟิก, ปุ่มกด (Switch) ได้ตามความต้องการ      • เพื่อให้มีความยืดหยุ่นต่อการใช้งาน      • กรณีใช้เป็นแบบ RS485 จะลดความซับซ้อนในการ Wiring สายคอนโทรล      • ใช้โปรแกรมเดียวในการเขียนโปรแกรมหน้าจอและแลดเดอร์      • เหมาะสำหรับพื้นที่จำกัด เพราะบางรุ่นมีขนาดเล็ก สามารถยึดหน้าตู้พร้อมกับ IO      ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน PLC (Programmable Logic Controller) ระบบควบคุม Booter Pump ระบบควบคุมปั๊มลม เครื่องเทสแรงอัดพลาสติก Switching Power Supply Signal Tower Light ROTATION WARNING LIGHT Relay Module Slim Relay Module โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
ทำไมต้องใช้อุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) ร่วมกับ ฮีตเตอร์ (Heater)

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      ฮีตเตอร์ (Heater) อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ให้ความร้อนแก่ชิ้นงานหรือของเหลว เช่น น้ำ, น้ำมัน, กาว, สารเคมี เป็นต้น มีการออกแบบตามความเหมาะสมเพื่อใช้กับลักษณะงานในอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ เช่น การใช้ฮีตเตอร์รัดท่อ (Band Heater) เพื่อให้ความร้อนแก่เครื่องฉีดพลาสติก, ฮีตเตอร์แผ่น (Strip Heater) เพื่อให้ความร้อนกับแผ่นแม่พิมพ์, ฮีตเตอร์ต้มน้ำ (Immersion Heater) เพื่อต้มน้ำมัน-ของเหลวหรือต้มสารเคมี, ฮีตเตอร์แท่ง (Cartridge Heater) เพื่อให้ความร้อนแก่แม่พิมพ์ในการอุ่นของเหลว-อุ่นกาว, ฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) เพื่อให้ความร้อนในการอุ่นของเหลว, ฮีตเตอร์ครีบ (Finned Heater) เพื่อให้ความร้อนกับอากาศในการอบแห้ง-ไล่ความชื้น, ฮีตเตอร์อินฟราเรด (Infrared Heater) ให้ความร้อนโดยการแผ่รังสี งานอบสี, อบขนม, อบอาหาร ฯลฯ โดยฮีตเตอร์ (Heater) สามารถนำมาใช้งานร่วมกับเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ (Temperature Sensor) เช่น Thermocouple, RTD Pt100, เครื่องควบคุมอุณหภูมิ (Temperature Controller) หรือ Thermostat, Solid State Relay เป็นต้น        ฮีตเตอร์ (Heater) ประเภทต่าง ๆ ***สามารถออกแบบและผลิตตามตัวอย่างได้*** รูปแสดงฮีตเตอร์ (Heater) ประเภทต่าง ๆ        ในการใช้งานฮีตเตอร์ (Heater) ประเภทต่าง ๆ จะต้องมีการออกแบบให้เหมาะสมกับงานนั้น ๆ โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานเบื้องต้น เช่น ขนาดของฮีตเตอร์ (W*H) / ขนาดท่อ (Tube), แรงดันไฟฟ้า (Volt), กำลังวัตต์ (Watt) เป็นต้น (ขึ้นอยู่กับประเภทของฮีตเตอร์) และถ้ามีการบำรุงรักษาที่ถูกวิธีจะทำให้ฮีตเตอร์ (Heater) ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แต่บ่อยครั้งที่ผู้ใช้งานมักจะพบปัญหาอายุการใช้งานของฮีตเตอร์ที่สั้นผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุหรือฮีตเตอร์ขาดอันเนื่องมาจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้      • การจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ไม่เหมาะสม เช่น ฮีตเตอร์ 220V แต่จ่ายแรงดัน 380V ทำให้ฮีตเตอร์ขาด (Heater Break) ได้      • การเลือกกำลังวัตต์ที่ไม่เหมาะสมกับขนาดฮีตเตอร์ เช่น ฮีตเตอร์รัดท่อ (Band Heater) หากเลือกเกินขนาดทำให้ฮีตเตอร์ร้อนเกิน อายุการใช้งานน้อยลงด้วย      • การเลือกใช้วัสดุที่ไม่เหมาะสมกับงาน เช่น ฮีตเตอร์ต้มน้ำ (Immersion Heater) นำไปใช้งานกับน้ำที่มีสารเคมี แต่เลือกใช้วัสดุที่ไม่สามารถทนต่อสารเคมีได้ (SUS304) เป็นต้น      • คราบตะกรันติดที่ท่อฮีตเตอร์ เช่น ฮีตเตอร์ต้มน้ำ (Immersion Heater), ฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) ที่สะสมทำให้เกิดการกัดกร่อนและฮีตเตอร์ขาด (Heater Break) ได้      • อุปกรณ์ควบคุม เช่น Temperature Controller หรือ Thermostat ไม่ตัดการทำงาน ทำให้ฮีตเตอร์ทำงานตลอดเวลา        ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อตัวฮีตเตอร์เองและสินค้าเกิดความเสียหาย โดยในการเช็คความผิดปกติของฮีตเตอร์หรือเช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break) จะมีวิธีใดบ้าง วันนี้เราจะมาแนะนำการใช้งานฮีตเตอร์ (Heater) ที่มีประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้น ด้วยการใช้อุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) ในหัวข้อ "ทำไมต้องใช้อุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) ร่วมกับ ฮีตเตอร์ (Heater)" ดังนี้   อุปกรณ์แสดงผลค่ากระแสและสถานะของฮีตเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Monitor for Heater Break Alarm) อุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาดหรืออุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) Input 4 Channel ทำงานแยกอิสระจากกัน Model : CM-005DN , Brand : PM Model : CM-005N-4-CH , Brand : PM        อุปกรณ์ช็คฮีตเตอร์ขาดหรืออุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาดโดยเฉพาะ เพื่อแจ้งให้ผู้ปฏิบัติงานทราบถึงความผิดปกติของฮีตเตอร์ (Heater) ก่อนที่จะทำให้สินค้าหรือไลน์การผลิตเกิดความเสียหาย โดยใช้หลักการของการเช็คกระแสของฮีตเตอร์ (Heater) แต่ละตัว โดยมีวิธีการเช็คดังนี้        วิธีเช็คฮีตเตอร์ขาดโดยใช้อุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาด รุ่น CM-005N-4CH (Heater Break Alarm) แบบ Input 4 Channel ที่ทำงานแยกอิสระจากกัน ต่อร่วมกับอุปกรณ์แสดงผลค่ากระแสและสถานะของฮีตเตอร์ รุ่น CM-005DN (Digital Monitor for Heater Break Alarm)        อุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) รุ่น CM-005N-4CH จะทำการเช็คกระแสของฮีตเตอร์ (Heater) ในแต่ละตัว (ที่กระแส 50A ได้ถึง 4 ตัว) ในเวลาเดียวกัน โดยต่อสายคล้องผ่าน CT (Current Transformer) เพื่อทำการเช็คกระแสของฮีตเตอร์ (Heater) ในแต่ละตัว ถ้าฮีตเตอร์ (Heater) ตัวใดไม่มีกระแสไหลผ่านแสดงว่าฮีตเตอร์ (Heater) ตัวนั้นขาด และยังสามารถตั้งค่ากระแสต่ำเพื่อแจ้งเตือน Heater Break ได้ ในกรณีที่มีการต่อฮีตเตอร์จำนวนหลายตัวในชุดเดียวกันได้ หรือในกรณีฮีตเตอร์ (Heater) ทำงาน คือ มีกระแสไหลผ่านตลอดเวลาอันเนื่องจาก Solid State Relay Short Circuit หรือหน้า Contact ของ Magnetic Arc. ติดกัน โดยที่ Output ของ Temperature Controller ไม่สั่งงาน ก็จะมี Alarm แจ้งเตือนความผิดปกติเช่นกัน พร้อมทั้งยังสามารถต่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์แสดงค่ากระแสและสถานะของฮีตเตอร์ รุ่น CM-005DN เพื่อแสดงค่ากระแสและสถานะของฮีตเตอร์ (Heater) แต่ละตัว ได้สูงสุดถึง 8 ตัว (ต่อเข้ากับ CM-005N-4CH จำนวน 2 ตัว)        ซึ่งในกรณีนี้เราจะยกตัวอย่างวิธีเช็คฮีตเตอร์ขาดโดยใช้อุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาด รุ่น CM-005N-4CH (Heater Break Alarm) แบบ Input 4 Channel ที่ทำงานแยกอิสระจากกัน ต่อร่วมกับอุปกรณ์แสดงผลค่ากระแสและสถานะของฮีตเตอร์ รุ่น CM-005DN (Digital Monitor for Heater Break Alarm) เพื่อ Alarm แจ้งเตือนความผิดปกติให้ผู้ปฏิบัติทราบถึงสถานะของฮีตเตอร์ (Heater) หากกระแสของฮีตเตอร์ (Heater) ตัวใดหรือชุดใดไม่มีกระแสไหลผ่านหรือกระแสไหลผ่านน้อยกว่าค่าที่ตั้งไว้ แสดงว่าฮีตเตอร์ (Heater) ตัวนั้นขาด หรือภายในชุดนั้นมีฮีตเตอร์ขาด ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากกับเครื่องจักรที่มีการใช้งานฮีตเตอร์ (Heater) จำนวนหลายตัวและหลายโซนเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะหากฮีตเตอร์ (Heater) เส้นใดเส้นหนึ่งขาดโดยที่ผู้ปฏิบัติงานไม่รู้อาจจะทำให้ชิ้นงานเสียหายได้ ดังนั้นในวิธีการที่กล่าวมาข้างต้นสำหรับการเช็คฮีตเตอร์ขาดนั้น หวังว่าคงเป็นประโยชน์ให้กับผู้ใช้งานได้ไม่มากก็น้อย และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานฮีตเตอร์ (Heater) นั้น การเลือกใช้อุปกรณ์ต่อร่วมก็สำคัญเช่นกัน เช่น Temperature Controller, Solid State Relay, Temperature Sensor เป็นต้น        สรุปง่าย ๆ เลยว่าอุปกรณ์สำหรับเช็ค Heater ขาด CM-005N-4CH (Heater Break Alarm)      • สามารถเช็คกระแส Heater ที่กระแส 50A ได้ถึง 4 ตัว      • มี 4 Input (1 Input / 1 Heater) โดยสามารถเลือกได้ทั้ง 140-250VAC และ 10-30VDC      • สามารถตั้งค่าการตัดกระแส Heater Break ได้ (ใช้งานร่วมกับ CM-005DN หรือใช้งานผ่านพอร์ทสื่อสาร RS-485 MODBUS RTU PROTOCAL)      • ติดตั้งง่ายโดยการร้อยสายไฟผ่าน CT ไปยัง Heater (มี CT 50A ในตัว)      • มี Alarm Output Relay แจ้งเตือนเมื่อเกิด Heater Break หรือ Heater Short      • มี LED แสดงสถานะของ Heater แต่ละตัว      • มีพอร์ทสื่อสาร RS-485 MODBUS RTU PROTOCAL      • CM-005DN เป็นเครื่องแสดงผลค่ากระแสและสถานะของ Heater โดยต่อร่วมกับ CM-005N-4CH      • สามารถต่อร่วมกับ CM-005N-4CH ได้สูงสุด 2 ตัว ผ่าน Monitor Panel เพื่อแสดงผลค่ากระแส และสถานะของ Heater ได้ถึง 8 ตัว (ใช้งานร่วมกับ CM-005N-D)      • แสดงตำแหน่งของ Heater และค่ากระแสของ Heater ด้วย 7-Segment สีแดง พร้อม LED แสดงสถานะของ Alarm แต่ละตัว      • สามารถตั้งค่าการตัดกระแส Heater Break Setting      • มีระบบ Auto / Manual เพื่อดูสถานะของ Heater แต่ละตัว        ตัวอย่างวิธีเช็คฮีตเตอร์ขาด ของ Immersion Heater (ฮีตเตอร์ต้มน้ำ) แบบ 3 เฟส ในกรณีจับกลุ่มใช้งาน 3 ตัว โดยใช้อุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาดรุ่น CM-005N-4CH (Heater Break Alarm) แบบ Input 4 Channel ทำงานแยกอิสระจากกัน พร้อมอุปกรณ์แสดงผลค่ากระแสและสถานะของ Heater รุ่น CM-005DN (Digital Monitor for Heater Break Alarm) และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รูปตัวอย่างการต่อใช้งานอุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) Input 4 Channel ร่วมกับ Temp Control, SSR, Rotation Warning Light เพื่อแจ้งเตือนสถานะ Immersion Heater        วิธีเช็คฮีตเตอร์ขาด ของ Immersion Heater (ฮีตเตอร์ต้มน้ำ) แบบ 3 เฟส ในกรณีจับกลุ่มใช้งาน 3 ตัว ทำได้โดยการร้อยสายจาก Immersion Heater แต่ละเฟส ผ่าน CT ของอุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาดรุ่น CM-005N-4CH (Heater Break Alarm) แบบ Input 4 Channel ทำงานแยกอิสระจากกัน แล้วตั้งค่ากระแส Heater Break ที่อุปกรณ์แสดงผลค่ากระแสและสถานะของ Heater รุ่น CM-005DN (Digital Monitor for Heater Break Alarm) ให้ต่ำกว่าค่ากระแสจริงที่ Immersion Heater ใช้งาน หากเกิดความผิดปกติ ฮีตเตอร์ขดใดขาด กระแสของ Immersion Heater ก็จะตก อุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาดรุ่น CM-005N-4CH (Heater Break Alarm) แบบ Input 4 Channel ทำงานแยกอิสระจากกัน ก็จะแจ้งเตือน Alarm ไฟ Warning Light รุ่น TLW ก็จะติด ทำให้ผู้ใช้งานสามารถทราบได้ทันทีว่าฮีตเตอร์มีความผิดปกติและเข้าตรวจสอบได้ทันที        ตัวอย่างวิธีการต่อใช้งานสำหรับเช็คฮีตเตอร์ขาด ของ Tubular Heater (ฮีตเตอร์ท่อกลม) จำนวนหลายตัวใน 1 ชุด โดยใช้อุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาดรุ่น CM-005N-4CH (Heater Break Alarm) แบบ Input 4 Channel ทำงานแยกอิสระจากกัน พร้อมอุปกรณ์แสดงผลค่ากระแสและสถานะของ Heater รุ่น CM-005DN (Digital Monitor for Heater Break Alarm) และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รูปตัวอย่างการต่อใช้งานอุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) Input 4 Channel ร่วมกับ Temp Control, SSR, Rotation Warning Light เพื่อแจ้งเตือนสถานะ Tubular Heater        วิธีการต่อใช้งานสำหรับเช็คฮีตเตอร์ขาด ของ Tubular Heater (ฮีตเตอร์ท่อกลม) จำนวนหลายตัวใน 1 ชุด โดยสามารถร้อยสายจาก Solid State Relay ผ่าน CT ของอุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาด รุ่น CM-005N-4CH (Heater Break Alarm) แบบ Input 4 Channel ทำงานแยกอิสระจากกัน และต่อไปยัง Tubular Heater ทั้ง 3 ตัว (ที่ต่อขนานหรืออนุกรม) และไปตั้งค่ากระแส Heater Break ที่อุปกรณ์แสดงผลค่ากระแสและสถานะของ Heater รุ่น CM-005DN (Digital Monitor for Heater Break Alarm) ให้ต่ำกว่าค่ากระแสจริงที่ Tubular Heater ทั้ง 3 ตัวที่ใช้งาน หากเกิดความผิดปกติ ฮีตเตอร์ตัวใดตัวนึงในชุดนั้นขาด อุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ขาด รุ่น CM-005N-4CH (Heater Break Alarm) แบบ Input 4 Channel ทำงานแยกอิสระจากกัน ก็จะแจ้งเตือน Alarm ไฟ Warning Light รุ่น TLW ก็จะติด ทำให้ผู้ใช้งานสามารถทราบได้ทันทีว่าฮีตเตอร์มีความผิดปกติ และเข้าตรวจสอบได้ทันที        จากเนื้อหาดังกล่าวที่ทางเราได้นำเสนอ โดยสามารถนำมาสรุปถึงข้อดีของการใช้อุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ (Heater Break Alarm) ได้ดังนี้        ข้อดีของการใช้อุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ (Heater Break Alarm)      • เข้าถึงหน้างานได้รวดเร็ว เพื่อลดความเสียหายของสินค้าหรือชิ้นงานอันเนื่องมาจากฮีตเตอร์ขาด (Heater Break)      • ประหยัดเวลาในการตรวจเช็คกรณีที่เกิดฮีตเตอร์ (Heater) ขาด หรือ Short Circuit เพราะสามารถดูได้จาก LED ที่กระพริบ หรือดูจาก Monitor ได้เลย      • ทำให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุงรักษา เนื่องจากทราบตำแหน่งฮีตเตอร์ (Heater) ที่เสียหายชัดเจน      • ป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อฮีตเตอร์ (Heater) ตัวอื่น ๆ ในเครื่องเดียวกันทำงานหนักชดเชยแทนตัวที่เสียหาย      • Monitor และ Record ข้อมูลผ่าน MODBUS RTU RS-485 ได้      • อุปกรณ์เช็คฮีตเตอร์ขาด (Heater Break Alarm) โดยสามารถติดตั้งยึดกับราง Din Rail ได้เลย      • ไม่ต้องต่อร่วมกับ CT ภายนอก ทำให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้ได้        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานอุปกรณ์แจ้งเตือนฮีตเตอร์ (Heater Break Alarm)   เครื่องฉีดพลาสติก ห้องอบสีรถยนต์ เครื่องจักรผลิตอาหารสัตว์ Heater Break Alarm Digital Monitor For Heater Break Alarm Solid State Relay Temperature Controller Heater โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
หลักการทำงานของเครื่องวัดและแสดงผลความถี่ (Frequency), ความเร็วรอบ (RPS) และความเร็วสายพาน (Line Speed)

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      ปัจจุบันในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีไลน์การผลิตสินค้า (Production Line) จะต้องมีระบบลำเลียงสินค้า (Conveyor System) หรือบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับการผลิตในกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภค-บริโภค เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ยา ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ หรือสินค้าที่มีน้ำหนักเบา เป็นต้น การลำเลียงสินค้าโดยใช้สายพานลำเลียงแบบทั่วไป (Belt Conveyor) เป็นการลำเลียงจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งในหน่วยของการผลิตสินค้าในไลน์การผลิต มีความสะดวกในกรณีที่ต้องการการลำเลียงจำนวนมาก ซึ่งการใช้งานของสายพานลำเลียงต้องมีการตรวจเช็คเบื้องต้นว่าสายพานลำเลียงที่ใช้งานอยู่มีการสึก, ขาด, ชำรุด หรือไม่ หรือมีความตึงหย่อนมากหรือน้อยจนเกินไป        นอกจากนี้ก็สามารถใช้เครื่องวัดและแสดงผลความถี่ (Frequency), ความเร็วรอบ (RPS) และความเร็วสายพาน (Line Speed) ที่มีหน่วยการแสดงผลได้หลายรูปแบบภายในตัวเดียว เช่น การแสดงผลค่าความถี่ (Frequency) ที่มีหน่วยการแสดงผลเป็น Hz, การแสดงค่าความเร็วรอบ หน่วยการแสดงผลเป็น รอบต่อวินาที (RPS) และการแสดงค่าความเร็วสายพาน (Line Speed) หน่วยการแสดงผลเป็น เมตรต่อนาที (m/min) ในการแสดงผลให้ผู้ใช้งานได้ทราบ ทำให้ช่วยควบคุมปริมาณหรือจำนวนการผลิตสินค้าได้ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนการผลิต        โดยทางเราขอยกตัวอย่างเครื่องวัดและแสดงผลความถี่หรือมิเตอร์วัดและแสดงผลความถี่แบบดิจิตอล (Digital Frequency Meter) รุ่น TFM-94N (ดังรูป) เครื่องแสดงผลความถี่, ความเร็วรอบ และความเร็วสายพาน (Digital Frequency Meters with Alarm รุ่น TFM-94N)        หลักการทำงานเครื่องวัดและแสดงผลความถี่หรือมิเตอร์วัดและแสดงผลความถี่แบบดิจิตอล (Digital Frequency Meter) รุ่น TFM-94N เป็นมิเตอร์วัดและแสดงผลค่าความถี่ (Frequency), ความเร็วรอบ (RPS) และความเร็วสายพาน (Line Speed) โดยสามารถตั้งค่า Pulse ต่อรอบของ Sensor และรัศมีของจานหมุนได้ ทําให้การวัดค่ามีความละเอียดและง่ายต่อการใช้งาน สามารถรับอินพุตประเภท Proximity Switch, Photoelectric Sensor, Encoder ในรูปแบบของสัญญาณ NPN, PNP และ Pulse และสามารถแสดงผลได้ทั้ง Hz, kHz, RPS, RPS, Cm/S, Cm/M, Cm/Hr, M/S, M/M, M/Hr (ตามการตั้งค่า) โดย Digital Frequency Meter รุ่น TFM-94N สามารถนำมาต่อใช้งานร่วมกับ Encoder, Proximity Switch, Photoelectric Sensor เป็นต้น (ดังตัวอย่าง)        ตัวอย่าง เครื่องวัดและแสดงผลความถี่ หรือ Digital Frequency Meter รับอินพุตประเภท Proximity Switch เพื่อทำการวัดความเร็วรอบของสายพานลำเลียง ตัวอย่าง เครื่องวัดและแสดงผลความถี่ หรือ Digital Frequency Meter รับอินพุตประเภท Proximity Switch เพื่อทำการวัดความเร็วรอบของสายพานลำเลียง        จากตัวอย่างข้างต้น ในวันนี้เราขอยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานของเครื่องวัดและแสดงผลความถี่ หรือ Digital Frequency Meter รุ่น TFM-94N ในหัวข้อ "หลักการทำงานของเครื่องวัดและแสดงผลความถี่ (Frequency), ความเร็วรอบ (RPS) และ ความเร็วสายพาน (Line Speed)" โดยสามารถแบ่งประเภทจากลักษณะการวัดได้ดังนี้        Contact Digital Frequency Meter เป็นการวัดความถี่ (Frequency), ความเร็วรอบ (Speed) และความเร็วสายพาน (Line Speed) แบบสัมผัส (Contact) โดยลักษณะการใช้งานจะใช้ตัวเซ็นเซอร์ Encoder แบบ Hollow Shaft ต่อเข้ากับแกนของมอเตอร์ หรือ Shaft ของเครื่องจักรโดยตรง และนำสัญญาณเอาต์พุตของตัวเซ็นเซอร์ต่อเข้ากับเครื่องวัดและแสดงผลความถี่ หรือมิเตอร์วัดและแสดงค่าความถี่ (Digital Frequency Meter) เพื่อแสดงค่า และตั้งค่า Alarm เพื่อนำสัญญาณเอาต์พุตแบบ Relay และ Transfer Output ไปประยุกต์ใช้งาน (ดังตัวอย่างรูปที่ 1)        ตัวอย่างรูปที่ 1 : เครื่องวัดและแสดงผลความถี่ (Digital Frequency Meter) รับอินพุตประเภท Encoder แบบ Hollow Shaft เพื่อทำการวัดความเร็วรอบของสายพานลำเลียง ติดตั้ง Encoder บริเวณท้ายของมอเตอร์ (ตัวอย่างรูปที่ 1) : การต่อใช้งานลักษณะนี้เหมาะสำหรับใช้งานวัดค่าความถี่ F (หน่วย : Hz, kHz) หรือวัดค่าความเร็วรอบต่อวินาที, นาที (หน่วย : RPS, RPM) ได้ภายในอุปกรณ์เดียว Digital Frequency Meter รุ่น TFM-94N Series        Non-Contact Digital Frequency Meter เป็นการวัดความถี่ (Frequency), ความเร็วรอบ (Speed) และความเร็วสายพาน (Line Speed) แบบไม่สัมผัส (Non-Contact) โดยลักษณะการใช้งานจะใช้ตัวเซ็นเซอร์ อาทิ Proximity Switch, Photoelectric Sensor เป็นต้น โดยใช้หลักการส่งคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Proximity Sensor) หรือใช้หลักการยิงลำแสง (Photoelectric Sensor) ในการตรวจจับเพลาหรือแกนของมอเตอร์แบบไม่สัมผัส และนำสัญญาณเอาต์พุตของตัวเซ็นเซอร์ต่อเข้ากับเครื่องวัดและแสดงผลความถี่ หรือมิเตอร์วัดและแสดงค่าความถี่ (Digital Frequency Meter) เพื่อแสดงค่า และตั้งค่า Alarm เพื่อนำสัญญาณเอาต์พุตแบบ Relay และ Transfer Output ไปประยุกต์ใช้งาน (ดังตัวอย่างรูปที่ 2)        ตัวอย่างรูปที่ 2 : เครื่องวัดและแสดงผลความถี่ (Digital Frequency Meter) รับอินพุตประเภท Proximity Switch, Photoelectric Sensor เพื่อทำการวัดความเร็วรอบของมอเตอร์ (ตัวอย่างรูปที่ 2) : การต่อใช้งานลักษณะนี้ เหมาะสำหรับใช้งานวัดค่าความถี่ F (หน่วย : Hz, kHz) หรือวัดค่าความเร็วรอบ (หน่วย : RPS, RPM) หรือวัดค่า Line Speed (หน่วย : Cm/S, Cm/M, Cm/Hr, M/S, M/M, M/Hr) ได้ภายในอุปกรณ์เดียว Digital Frequency Meter รุ่น TFM-94N Series        จากข้อมูลเนื้อหาดังกล่าว โดยทางเราได้นำมาสรุปข้อดีของการใช้งานเครื่องวัดและแสดงผลความถี่ หรือมิเตอร์วัดและแสดงค่าความถี่ (Digital Frequency Meter) ได้ดังนี้        ข้อดีของการใช้งานเครื่องวัดและแสดงผลความถี่ หรือ Digital Freqeuncy Meter รุ่น TFM-94N Series      • สามารถรับอินพุตได้หลากหลายในตัวเดียวกัน อาทิ Proximity Switch, Photoelectric Sensor, Encoder เป็นต้น      • การ Wiring สายไม่ยุ่งยาก และตรวจสอบหรือซ่อมบำรุงได้ง่าย      • มี Digital Input Function เพื่อใช้งาน Zero, Hold Display, Show Peak High, Show Peak Low, Show Peak Different, Reset Alarm, Reset Peak and Minimum      • ตั้งค่าการแสดงผลและการคำนวณ Pulse/รอบ ได้ง่าย      • สามารถตั้งค่าหน่วยวัดความเร็วรอบได้ เช่น RPS, RPM      • สามารถตั้งค่ารัศมีของจานหมุนได้หลากหลายหน่วย เช่น มิลลิเมตร, เซนติเมตร, เมตร      • สามารถตั้งค่า Unit Line Speed หน่วยวัดความเร็วสายพานได้ เช่น Cm/S, Cm/M, Cm/H, M/S, M/M, M/H โดยสามารถเลือกหน่วยการวัด Line Speed และไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนค่ารัศมีจานหมุน เพราะ Digital Frequency Meter จะคำนวณค่าในการวัดมาให้เลย        จากข้อดีของเครื่องวัดและแสดงผลความถี่ หรือ Digital Frequency Meter รุ่น TFM-94N Series สามารถตั้งค่าพารามิเตอร์เพื่อเป็นแนวทาง ดังตัวอย่าง            ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานเครื่องวัดและแสดงผลความถี่ หรือ Digital Frequency Meter รุ่น TFM-94N Series   วัดความเร็วรอบของมอเตอร์ วัดความเร็วรอบและ Line Speed สายพานของลูกกลิ้ง วัดความเร็วรอบ และ Line Speed โรงงานทอผ้า   Increment Encoder ø 50 MM. Increment Encoder ø 38 MM. Programmable Increment Encoder ø 50 MM. Photoelectric Sensor Proximity Switch โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
3 วิธีการเลือกใช้ Wiring Duct (รางเก็บสายไฟ) ให้เหมาะสมกับงาน

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      Wiring Duct (รางเก็บสายไฟ) หรือนิยมเรียกกันง่าย ๆ ว่า "รางวายดัก" ใช้สำหรับเก็บสายไฟสำหรับงานเดินระบบสายไฟ, รางเก็บสาย LAN, รางเก็บสายโทรศัพท์ หรือรางเก็บสายคอนโทรลประเภทต่าง ๆ เช่น สายไฟฟ้า, สายใยแก้วนำแสง เป็นต้น เพื่อเก็บสายให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และสามารถช่วยป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดจากสายไฟที่ไม่เป็นระเบียบ ถ้าหากมีสายไฟเยอะ ๆ อาจจะเกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงานหรือพื้นที่บริเวณนั้น และการใช้รางสำหรับเก็บสายไฟ (Wiring Duct) ทำให้ง่ายต่อการตรวจเช็คกรณีที่ต้องการเปลี่ยนหรือการต่อใช้งานอุปกรณ์ภายในตู้คอนโทรล (MDB), ตู้ไฟฟ้า หรือการเดินสายไฟภายในอาคาร เป็นต้น โดย Wiring Duct (รางเก็บสายไฟ) มีการใช้ตามลักษณะงานที่หลากหลาย เช่น งานเก็บสายตามอาคาร, สำนักงาน, งานเก็บสายไฟในตู้คอนโทรลในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งทางเราได้มีการนำเสนอกันไว้ในหัวข้อ 4 ข้อดีของ Wiring Duct (รางเก็บสายไฟ) ในตู้คอนโทรล        Wiring Duct (รางเก็บสายไฟ) หรือ รางวายดัก ที่ดีควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้      • สามารถดัดโค้งงอได้ (Bendable)      • แข็งแรง ทนทานต่อการใช้งาน (Hight Impact)      • วัสดุเป็นฉนวนกันความร้อน ป้องกันการลามของไฟได้ (Fire Retardant)      • น้ำหนักเบา ง่ายต่อการติดตั้ง คีบราง Wiring Duct สามารถหักได้ด้วยมือ ไม่จำเป็นต้องใช้คีมในการตัด      • มีอุปกรณ์เสริม (Accessories) ให้เลือกใช้หลายประเภท เช่น ฝาครอบราง (Cover), ฉากกั้นราง (Separators), ตัวรวบสาย (Wire Retainers), หมุดยึด (Ductfix), ตัวกดสายในรางแบบล็อคสองข้าง (Wire Retainers), อุปกรณ์สำหรับยกราง (Din Rail Support Brackets), อุปกรณ์เสริมสำหรับติดตั้งราง Wire Duct กับราง Omega, ปลอกหุ้มสายไฟ (Braided Expandable Sleeving), คีมตัดราง (Mounting Clips) ฯลฯ      • มีมาตรฐานสากลรองรับ เช่น UL, CSA, CE, ISO 14001      Wiring Duct (รางเก็บสายไฟ) หรือ รางวายดัก ที่มีคุณสมบัติดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นของ Brand IBOCO ผลิตจากวัสดุพลาสติก ประเภท Polyamide 6 มีความทนทานและมีความยืดหยุ่นสูง ไม่หักง่าย จึงเหมาะสำหรับงานเก็บสายทุกประเภท และวัสดุยังเป็นฉนวนกันความร้อนและป้องกันการลามของไฟได้ดี มีมาตรฐานสากลรองรับ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้ดังนี้        ประเภท Wiring Duct (รางเก็บสายไฟ) ยี่ห้อ IBOCO   1. Wiring Duct แบบโปร่งพร้อมฝาปิด (Cover) เหมาะสำหรับงานเดินสายไฟงานคอนโทรลในตู้ MDB และงานเก็บสายไฟทั่ว ๆ ไป มีขนาดร่องตามความเหมาะสม เช่น ร่อง 4 mm., 5 mm., 8 mm. เป็นต้น 2. Wiring Duct แบบทึบพร้อมฝาปิด (Cover) เหมาะสำหรับงานเก็บสายไฟ เพื่อป้องกันฝุ่นหรือน้ำ, น้ำมัน เป็นต้น   3. Wiring Duct แบบทึบ ใช้ร่วมกับ Cable Gland เหมาะสำหรับงานเดินท่อสายไฟหรืองานลิฟท์ที่ต้องการแยกสายไฟในแต่ละชั้น          รางวายดัก (Wiring Duct) หรือ รางเก็บสายไฟ จะมีช่องว่างด้านข้างสำหรับการแยกสายไฟ เพื่อความสะดวกในการแยกสายเข้าตามจุดต่าง ๆ กรณีการใช้งานหลายจุด จึงไม่ต้องตัดแบ่งรางหลายส่วน ง่ายต่อการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายในตู้คอนโทรล (MDB), ตู้ไฟฟ้า หรือแผงควบคุม นิยมใช้ในภาคอุตสาหกรรมที่มีปริมาณสายไฟที่ใช้งานจำนวนมาก เช่น ในโรงงานอุตสาหกรรม งานระบบต่าง ๆ หรือคลังสินค้า โดยมีอุปกรณ์เสริมเพื่ออำนวยความสะดวก และมีความยืดหยุ่นในตัวเองสูงไม่แตกหักง่าย และในวันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการเลือกใช้ Wiring Duct (รางเก็บสายไฟ) หรือ รางวายดัก แบบสรุปเป็นข้อ ๆ สำหรับความเหมาะสมในการเลือกใช้งาน ว่าในงานแต่ละประเภทควรเลือกใช้รางวายดัก (Wiring Duct) แบบใด ในหัวข้อ “3 วิธีการเลือกใช้ Wiring Duct (รางเก็บสายไฟ) ให้เหมาะสมกับงาน” ดังนี้        1. งานประเภทการเดินสายไฟ, การเก็บสายไฟในตู้คอนโทรล (MDB), ตู้ไฟฟ้าทั่ว ๆ ไป           ควรเลือกใช้รางวายดัก (Wiring Duct) แบบโปร่งพร้อมฝาปิด (Cover) โดยลักษณะของรางจะมีความหนา ด้านข้างจะเป็นช่องโปร่ง หรือเรียกว่า “ร่องหรือช่องสล็อต (Slotted)” สองฝั่ง โดยมีขนาด 4 mm., 5 mm., 8 mm. เป็นต้น และคุณสมบัติพิเศษของตัวซี่จะสามารถหักได้ง่ายด้วยมือโดยไม่ต้องใช้คีมตัด ทำให้ประหยัดเวลาและสะดวกกับผู้ใช้งาน ด้านบนจะมีฝาปิดตัวราง และภายในจะมีตัวรวบสายในรางพร้อมหมุดยึด (Wire Retainers) เพื่อเก็บสายไฟและมีรูไว้สำหรับยึดตัวรางให้ติดผนัง การใช้งานสามารถประกอบติดตั้งและแยกสายไฟเข้าตามจุดต่าง ๆ ได้ง่ายโดยไม่ต้องตัดแบ่งรางหลาย ๆ ส่วน ทำให้การติดตั้งสายไฟเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม เมื่อสายไฟเกิดการชำรุดหรือเสียหายสามารถซ่อมหรือเปลี่ยนสายไฟใหม่ได้ทันที (ดังรูปที่ 1)   (รูปที่ 1) ตัวอย่างรางวายดัก (Wiring Duct) แบบโปร่งพร้อมฝาปิด (Cover)        2. งานประเภทการเดินสายไฟ, การเก็บสายไฟในพื้นที่ที่มีฝุ่นละออง, น้ำ, น้ำมัน           ควรเลือกใช้รางวายดัก (Wiring Duct) แบบทึบพร้อมฝาปิด (Cover) โดยลักษณะของรางจะมีความหนา ด้านข้างจะทึบ ไม่มีช่องว่าง เหมาะกับการเดินสาย, การเก็บสายไฟในพื้นที่ที่มีฝุ่นละออง, น้ำ, น้ำมัน หรือสัตว์ต่าง ๆ อาทิ มด, แมลงสาบ, จิ้งจก, หนู ฯลฯ เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมดังกล่าวเข้าไปในสายไฟหรือระบบไฟฟ้า ซึ่งอาจส่งผลทำให้สายไฟเกิดการชำรุดเสียหาย หรืออายุการใช้งานของสายไฟหรือสายคอนโทรลในระบบสั้นลง (ดังรูปที่ 2)   (รูปที่ 2) ตัวอย่างรางวายดัก (Wiring Duct) แบบทึบพร้อมฝาปิด (Cover)        3. งานประเภทการเดินสายไฟ, การเก็บสายไฟงานลิฟต์, งานใช้ร่วมกับท่อสายไฟ           ควรเลือกใช้รางวายดัก (Wiring Duct) แบบทึบ ใช้ร่วมกับ Cable Gland โดยลักษณะของรางจะมีความหนา ด้านข้างจะมีช่องสล็อต (Slotted) ขนาด 18 mm. และ 23 mm. ระยะห่าง 50 mm. สำหรับต่อร่วมเข้ากับท่อร้อยสายหรือท่อแบบข้อต่อ เหมาะกับงานประเภทงานสายไฟที่ร้อยผ่านท่อ เช่น งานลิฟต์ เป็นต้น (ดังรูปที่ 3)   (รูปที่ 3) ตัวอย่างรางวายดัก (Wiring Duct) แบบทึบ ใช้ร่วมกับ Cable Gland        ข้อแนะนำในการเลือกใช้งานรางวายดัก (Wiring Duct) ควรเลือกรางที่มีคุณสมบัติทนความร้อนได้ดี ไม่ทำให้เกิดประกายไฟ สำหรับราง Wiring Duct ยี่ห้อ IBOCO นี้ มีมาตรฐานในการเจาะรู (DIN 43659) เพื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมได้ ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ที่ถูกออกแบบเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการใช้งาน โดยทำร่องไว้เพื่อใช้ในการหักซี่ของรางได้ด้วยมือ ไม่จำเป็นต้องใช้คีมหรือเครื่องมือต่าง ๆ ในกรณีที่ต้องการหักที่ฐานด้านขอบรางก็สามารถตัดขอบด้านข้างและหักด้วยมือ (ดังรูป)        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานรางวายดัก (Wiring Duct) และอุปกรณ์เสริม (Accessories) IBOCO   ZP2 (หมุดยึด) ใช้ร่วมกับ Wiring Duct ใช้กับเคเบิ้ลไทร์ในการรวบสายไฟ CL (ตัวรวมสาย, รวบสาย) ใช้ร่วมกับ Wiring Duct ใช้ในการรวบสายไฟ แบบใช้ร่วมกับ Cable Gland ใช้ในการเดินท่อ Flex ร่วมกับ Wiring Duct เช่น งานลิฟต์ CONNECTORS Terminal Block  Relay Module Slim Relay Module Switching Power Supply โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
เปรียบเทียบการสื่อสารไร้สายแบบ LoRaWAN กับ WIFI ในงานอุตสาหกรรมต่างกันอย่างไร?

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      ปัจจุบันการสื่อสารแบบไร้สายในภาคอุตสาหกรรม (Industrial Communication Wireless) ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการพัฒนาระบบอัตโนมัติอุตสาหกรรมให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ โดยเป็นการนำเอาเทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless Technology) กับอุปกรณ์เครื่องมือวัดทางไฟฟ้าต่าง ๆ และคอมพิวเตอร์ (Computer) หรือเครื่องจักร (Machine) ในระบบอัตโนมัติให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งเป็นการสื่อสารที่มุ่งเน้นความสะดวกสบายของผู้ใช้ ลดการใช้สาย เคลื่อนย้ายสะดวกในกรณีที่ต้องบำรุงรักษา และเพื่อประสิทธิภาพของข้อมูลที่ใช้ในการสื่อสารเป็นหลัก ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีไร้สาย (Wireless Technology) โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานของระบบสื่อสารไร้สาย (Wireless Communication System) คือ เครื่องส่งสัญญาณช่องทางการรับ-ส่งสัญญาณ และผู้รับสัญญาณ อธิบายได้ดังนี้        เทคโนโลยีไร้สาย (Wireless Technology) เป็นวิธีการถ่ายโอนข้อมูลจากจุด A ไปยัง B (หรือระหว่างสองจุดขึ้นไป) โดยไม่ต้องใช้ตัวนำไฟฟ้าหรือตัวกลางทางกายภาพ มี 3 ประเภท ดังนี้      • เครือข่ายบริเวณกว้างแบบไร้สาย (WWAN) เป็นการใช้คลื่นวิทยุ (แต่เครือข่ายแม่ใช้สาย) และส่งไปยังจุดเชื่อมต่อไร้สายหนึ่งจุดหรือหลายจุด ซึ่งผู้ใช้ไร้สายสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายแบบมีสายได้      • เครือข่ายพื้นที่ส่วนบุคคลแบบไร้สาย (WPAN) เป็นเครือข่ายระยะสั้น (มักจะเป็นช่วง 30 ฟุต) โดยใช้เทคโนโลยีบลูทูธและเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่เข้ากันได้ เช่น โทรศัพท์, บีคอนบลูทูธพลังงานต่ำ (BLE) ใกล้ตำแหน่งศูนย์กลาง      • เครือข่ายไร้สายในพื้นที่ (WLAN) มาจากสัญญาณโทรศัพท์มือถือจากผู้ให้บริการเซลลูลาร์        เทคโนโลยีการสื่อสารที่นิยมใช้กันในยุคปัจจุบันเป็นการสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless) ภายใต้เครือข่าย LoRaWAN และ Wi-Fi โดยมีความหมาย ดังนี้      เทคโนโลยีไร้สาย LoRaWAN           LoRa หมายถึง โปรโตคอลการเชื่อมต่อเฉพาะในส่วนของ Link           LoRaWAN หมายถึง การเชื่อมต่อในลักษณะของการเป็นโครงข่าย        LoRaWAN หรือ Long Range Wide Area Network เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless) แบบวงกว้างและสื่อสารได้ในระยะไกล ใช้พลังงานต่ำ (เมื่อเทียบกับ WiFi และ Bluetooth) โดยอาศัยโปรโตคอล LoRa ในการพัฒนาเพื่อให้รองรับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานต่ำ ๆ ได้หลากหลาย ปัจจุบันเป็นที่นิยมมากในกลุ่มงานด้าน IoT (Internet of  Thing) เช่น การเชื่อมต่อ Power Meter System เพื่อ Monitor & Analysis และ Record บันทึกข้อมูลในงานอุตสาหกรรม เป็นต้น สำหรับโครงสร้างของ LoRaWAN จะประกอบด้วยหลายอุปกรณ์ เช่น อุปกรณ์ปลายทางจะส่งสัญญาณไปยัง Gateway หลังจากนั้น Gateway จะสื่อสารกับ Server ด้วย TCP และ UDP (ดังรูป) โครงสร้างของ LoRaWAN หรือ Long Range Wide Area Network        เทคโนโลยีไร้สาย WiFi หรือ Wi-Fi           WIFI ถือเป็นส่วนย่อยของ Wireless คือ เทคโนโลยีแบบไร้สายอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อเชื่อมต่อกันแบบไร้สายแล้ว จะเรียกว่า การเชื่อมต่อ Wireless แบบ WiFi นั่นเอง        WiFi หรือ Wi-Fi (Wireless Fidelity) เป็นเทคโนโลยีไร้สายที่ได้รับความนิยมที่ช่วยให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการสื่อสารข้อมูล หรือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายโดยใช้คลื่นวิทยุเป็นสื่อกลาง โดยสามารถใช้ได้กับมาตรฐานเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบไร้สาย (WLAN) ซึ่งอยู่บนมาตรฐาน IEEE 802.11 ระบบ WiFi ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่ายสื่อสารกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ แต่จะใช้คลื่นวิทยุเป็นช่องทางการสื่อสารแทน การรับส่งข้อมูลระหว่างกันจะผ่านอากาศ ทำให้ไม่ต้องเดินสายสัญญาณและติดตั้งใช้งานได้สะดวกขึ้น (ดังรูป) โครงสร้างของ WiFi หรือ Wireless Fidelity        จากข้อมูลข้างต้นของ LoRaWAN หรือ Long Range Wide Area Network และ WiFi หรือ Wireless Fidelity ทำให้ผู้อ่านได้ทราบถึงความหมายระหว่างเทคโนโลยีไร้สายแบบ LoRaWAN กับ WIFI กันไปแล้วนั้น โดยรูปแบบการสื่อสารไร้สายดังกล่าวได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้งานอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลาย เช่น การวัดอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์แบบไร้สาย (Wireless Humidity & Temperature Transmitter), การบันทึกข้อมูล (Data Record), การเก็บข้อมูล (Data Logger) ที่มีความแม่นยำ, การ Monitor ผ่านระบบเครือข่าย (Network System) ตลอดจนการควบคุมการใช้พลังงานทางไฟฟ้าด้วยมิเตอร์วัดพลังงานทางไฟฟ้า (Power Energy Meter) เพื่อการวางแผนในการประหยัดพลังงานต่อไป เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีไร้สายแบบ LoRaWAN กับ WIFI ก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้นในบทความนี้ทางเราจะขอเปรียบเทียบการสื่อสารทั้ง 2 รูปแบบนี้ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบถึงข้อมูลที่ชัดเจนและการเลือกใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น ในหัวข้อ “เปรียบเทียบการสื่อสารไร้สายแบบ LoRaWAN และ WIFI ในงานอุตสาหกรรมต่างกันอย่างไร?” ดังตารางต่อไปนี้   เปรียบเทียบการสื่อสารไร้สายแบบ LoRaWAN และ WIFI ในงานอุตสาหกรรมต่างกันอย่างไร? LoRaWAN หรือ Long Range Wide Area Network WiFi หรือ Wireless Fidelity • ระยะการส่งข้อมูลสูง • ใช้พลังงานต่ำ • Bandwidth ต่ำ • ความยากในการใช้ Setup ปานกลาง • ระยะการส่งข้อมูลต่ำ • ใช้พลังงานสูง • Bandwidth สูง • ความยากในการใช้ Setup ปานกลาง        จากตารางการเปรียบเทียบการสื่อสารไร้สายแบบ LoRaWAN และ WIFI ในงานอุตสาหกรรมต่างกันอย่างไรดังกล่าว ทางเราจึงขอนำเอามายกตัวอย่างในการต่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เครื่องมือวัดทางไฟฟ้าในงานภาคอุตสาหกรรม ดังต่อไปนี้        ตัวอย่าการต่อใช้งานมิเตอร์วัดค่าพลังงานไฟฟ้าแบบไร้สาย LoRaWAN รุ่น KM-24-L และดึงค่าอุณหภูมิจาก Digital Indicator ผ่านอุปกรณ์แปลงสัญญาณ RS-485 เป็น LoRa (Converter) รุ่น RM-012-L เพื่อ Monitor, Analysis, Record ผ่าน Prisoft Software การต่อใช้งานมิเตอร์วัดค่าพลังงานไฟฟ้าแบบไร้สาย LoRaWAN รุ่น KM-24-L และดึงค่าอุณหภูมิจาก Digital Indicator ผ่านอุปกรณ์แปลงสัญญาณ RS-485 เป็น LoRa (Converter) รุ่น RM-012-L เพื่อ Monitor, Analysis, Record ผ่าน Prisoft Software ในระบบอุตสาหกรรม        ตัวอย่างการต่อใช้งานมิเตอร์วัดค่าพลังงานไฟฟ้า (Multimeter) รุ่น KM-07N ร่วมกับ อุปกรณ์แปลงสัญญาณ RS-485 เป็น WIFI (Converter) รุ่น RM-012-WIFI เพื่อ Monitor, Analysis, Record ผ่าน Prisoft Software การต่อใช้งานมิเตอร์วัดค่าพลังงานไฟฟ้า (Multimeter) รุ่น KM-07N ร่วมกับ อุปกรณ์แปลงสัญญาณ RS-485 เป็น WIFI (Converter) รุ่น RM-012-WIFI เพื่อ Monitor, Analysis, Record ผ่าน Prisoft Software ในระบบอุตสาหกรรม          ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานการสื่อสารไร้สายแบบ LoRaWAN กับ WIFI   วัดค่าพลังงานจาก Generator ใช้วัดและเก็บค่าอุณหภูมิในโกดังเก็บสินค้า วัดและคิดค่าไฟฟ้าแยกตามห้อง ภายในอาคารจาก KM-24-L Multifunction Power Meter Single Phase kWh-Meter With LoRa Wireless Humidity & Temperature Transmitter LoRa Baseboard interface UART UNIVERSAL INPUT 2/4 CHANNEL LoRa CLICK   โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
เปรียบเทียบการนับจำนวนชิ้นงาน (Counting) ระหว่าง PLC+HMI (Function Counter) กับ Digital Counter ดีกว่ากันอย่างไร?

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      การนับจำนวนชิ้นงาน (Counting) โดยทั่วไปกระบวนการผลิตในงานอุตสาหกรรมจะมีการนับจำนวนชิ้นงาน, วัตถุ หรือชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในกระบวนการ ซึ่งในการนับจำนวนนั้นอาจจะใช้เป็นมนุษย์ (Human), หุ่นยนต์ (Robot) หรือเครื่องจักร (Machine) ฯลฯ เพื่อเป็นการบ่งบอกสถานะที่ผลิตได้ตามแผนที่วางไว้ แต่ในปัจจุบันนิยมใช้ระบบการนับแบบอัตโนมัติ (Automation Counting System) เนื่องจากมีความถูกต้องและแม่นยำในการนับชิ้นงานกว่ามนุษย์  โดยระบบการนับจำนวนชิ้นงาน (Counting) แบบอัตโนมัติจะประกอบด้วยส่วนหลัก ๆ ดังนี้        1. เซ็นเซอร์ (Sensor) คือ อุปกรณ์สำหรับตรวจจับชิ้นงาน เช่น Photoelectric Sensor, Proximity Switch เป็นต้น โดยแต่ละอุปกรณ์จะถูกนำเอาท์พุทของ เซ็นเซอร์ (Sensor) ไปต่อเข้าร่วมกับเครื่องนับจำนวนแบบดิจิตอล (Digital Counter), Target Counter หรือ PLC+HMI เพื่อแสดงผล และแจ้งเตือน Alarm ให้ผู้ใช้งานทราบ โดยเอาต์พุตของเซ็นเซอร์ (Sensor) ที่พบเห็นส่วนใหญ่ในงานภาคอุตสาหกรรม อาทิ เอาต์พุตประเภท NPN, PNP, NO, NC, Relay Contact เป็นต้น        2. เครื่องนับจำนวนแบบดิจิตอล (Digital Counter/Target Counter) คือ เครื่องนับจำนวนและแสดงผลเพื่อโชว์ค่าให้ทราบจำนวนชิ้นงานที่ผลิตได้ในการผลิตแต่ละครั้ง โดยสามารถตั้งค่าเป้าหมาย (Target) ในการผลิต และจำนวนของชิ้นงานที่ผลิตได้จริง (Actual) ให้สอดคล้องกับ Target ที่ตั้งไว้ และมีการแสดงจำนวนผลต่างของชิ้นงานที่ตั้งเป้าไว้และผลิตได้จริง (Diff) เพื่อช่วยลดความผิดพลาด (Error) และสามารถวางแผนระยะเวลาในการผลิตได้ อุปกรณ์ที่ใช้งานกันโดยทั่วไปในการนับจำนวน (Counter) หรือรูปแบบการตั้งเวลานับชั่วโมงการทำงานของเครื่องจักรและแสดงผล (Hour Counter) ในงานภาคอุตสาหกรรม เช่น เครื่องนับจำนวนแบบดิจิตอล (Digital Counter), Hour Counter, Target Counter หรือ PLC+HMI เป็นต้น        3. Software โปรแกรมที่ช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าหรือ Monitor ผ่านหน้าจอ Computer, Mobile ได้ โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องไปตั้งค่าหรือดูค่าที่ตัวอุปกรณ์ และปัจจุบันผู้ใช้สามาถดู Monitor ผ่าน Internet of Thing ได้ ทำให้สะดวกในการติดต่อประสานงานหรือวางแผนในการผลิตในยุคปัจจุบัน   เซ็นเซอร์ (Sensor) เครื่องนับจำนวนแบบดิจิตอล (Digital Counter) Software      การนับจำนวนชิ้นงานแบบอัตโนมัติ (Automation Counting System) ที่ประกอบด้วย เซ็นเซอร์ (Sensor), เครื่องนับจำนวนแบบดิจิตอล (Digital Counter), เครื่องนับชัวโมงการทำงาน (Hour Counter) หรือ Target Counter และ Software ดังที่กล่าวมาข้างต้น ที่ผู้ใช้งานพบเห็นบ่อยในงานภาคอุตสาหกรรม ซึ่งการใช้งานนั้นถือว่าไม่ซับซ้อนมากนักและราคาไม่สูงมาก นอกจากนี้ในการนับจำนวนชิ้นงานยังสามารถทำการนับจำนวนผ่านเครื่องควบคุมอัตโนมัติ หรือที่เรียกว่า พีแอลซี (PLC) ได้อีกเช่นกัน โดยในการนับจำนวนชิ้นงานในรูปแบบต่าง ๆ มีความแตกต่างกันอย่างไร? ในวันนี้เราจะขอแนะนำข้อเปรียบเทียบการนับชิ้นงานระหว่างการใช้ Digital Counter/Target Counter กับ พีแอลซี (PLC+HMI) ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร? ในหัวข้อ “เปรียบเทียบการนับจำนวนชิ้นงาน (Counting) ของอุปกรณ์ PLC+HMI (Function Counter) กับ Digital Counter ดีกว่ากันอย่างไร?” โดยยกตัวอย่างสินค้า PLC+HMI ยี่ห้อ UNITRONICS และ Digital Counter/Target Counter ยี่ห้อ PRIMUS ดังตาราง      เปรียบเทียบการนับจำนวนชิ้นงาน (Counting) ระหว่าง PLC+HMI (Function Counter) กับ Digital Counter ดีกว่ากันอย่างไร?   PLC+HMI (Function Counter) เครื่องนับชิ้นงานแบบดิจิตอล (Digital Counter/Target Counter) • สามารถโปรแกรมเงื่อนไขในการนับชิ้นงาน (Plan, Target, Diff) ได้ตามความต้องการโดยการเขียนโปรแกรม Ladder • สามารถกำหนดหน้าจอการแสดงผลได้ตามความต้องการสำหรับรุ่น Vision, Unistream ยี่ห้อ Unitronics • สามารถเพิ่มหรือขยาย Input/Output ได้ผ่าน I/O Expansion และ Snap I/O • ใช้ภาษา Ladder ในการเขียนโปรแกรมคำสั่งหรือสื่อสารระหว่าง Computer กับ PLC • ราคาค่อนข้างสูง • สินค้านำเข้า • สามารถออกแบบให้สามารถสื่อสารผ่าน Cloud ได้ • จำเป็นต้องระบุเลือกรุ่นสินค้าให้ตรงกับเงื่อนไขความต้องการตั้งแต่ตอนสั่งซื้อ เนื่องจากอุปกรณ์จะถูกกำหนดมาโดยอ้างอิงจาก Specification • ไม่สามารถกำหนดหน้าจอการแสดงผลได้ตามความต้องการสำหรับรุ่นมาตรฐาน CMP-Series, CMT-007A ยี่ห้อ Primus แต่สำหรับรุ่น TGM-Series สามารถระบุจำนวนแถว, จำนวนหลักของการแสดง 7-Segment ได้ • ไม่สามารถเพิ่มหรือขยาย Input/Output ได้ • ใช้ Software ที่มาคู่กับอุปกรณ์ในการ Monitor หรือตั้งค่าเฉพาะรุ่นที่มี Option MODBUS RS-485 เท่านั้น • ราคาพอเข้าถึงได้ • สินค้าผลิตด้วยฝีมือคนไทย        จากตารางการเปรียบเทียบการนับจำนวนชิ้นงาน (Counting) ระหว่าง PLC+HMI (Function Counter) กับ Digital Counter ดังกล่าว สามารถต่อใช้งานได้ตามตัวอย่างดังต่อไปนี้      ตัวอย่างการต่อใช้งาน V570 : Vision Programmable Logic Control+HMI (PLC+HMI) ร่วมกับ เซ็นเซอร์ตรวจจับวัตถุแบบไม่สัมผัส (Photoelectric Sensor) เพื่อแสดงผลและแจ้งเตือน Alarm ในการนับชิ้นงานใน Line การผลิต จากรูปเป็นการต่อเซ็นเซอร์เข้ากับ PLC เพื่อทำการนับชิ้นงานหรือใช้ในการควบคุมการทำงานของสายพานลำเลียง        จากตัวอย่างการต่อใช้งาน V570 : Vision Programmable Logic Control+HMI (PLC+HMI) ร่วมกับ เซ็นเซอร์ตรวจจับวัตถุแบบไม่สัมผัส (Photoelectric Sensor) เพื่อแสดงผลและแจ้งเตือน Alarm ในการนับชิ้นงานใน Line การผลิตดังกล่าว ทางเราขอยกตัวอย่างต่อด้วยการเขียนโปรแกรม Ladder ดังนี้        ตัวอย่างเขียนโปรแกรมการต่อใช้งาน V1040 : Vision Programmable Logic Control+HMI (PLC+HMI) ร่วมกับ เซ็นเซอร์ตรวจจับวัตถุแบบไม่สัมผัส (Photoelectric Sensor) เพื่อแสดงผลและแจ้งเตือน Alarm ในการนับชิ้นงานใน Line การผลิต      ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน PLC+HMI (Programmable Logic Controller)   เครื่องจ่ายเคมี เครื่องทดสอบน้ำยาง ชุดแสดงการทำงานของเครื่องทำความเย็น PLC , Programmable Logic Controller Switching Power Supply 2.5A Target Counter Photoelectric Sensor Primus Software โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
แนะนำ 3 วิธีการต่อใช้งานของ Level Switch & Level Sensor แต่ละประเภท

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      Level Sensor/Level Switch หรือ เซ็นเซอร์วัดระดับของเหลว ที่ใช้ในการตรวจวัดระดับของเหลว (Liquid) เช่น วัดระดับความสูงของน้ำหรือน้ำมันในถัง หรือวัดระดับน้ำในแท็งก์เก็บน้ำ เป็นต้น เพื่อต้องการทราบระดับของเหลวที่บรรจุอยู่ในภาชนะ แท็งก์น้ำ และเพื่อต้องการการควบคุมระดับน้ำให้ได้ตามที่ต้องการ โดย Level Sensor/Level Switch หรือเซ็นเซอร์วัดระดับของเหลว สามารถต่อร่วมกับอุปกรณ์ควบคุมระดับน้ำ (Level Control), ตัวแสดงผลของระดับน้ำ (Level Indicator) เพื่อแสดงค่าหรือควบคุมระดับของเหลว เป็นต้น แล้วนำค่าต่าง ๆ นี้ไปใช้ในกระบวนการการผลิตต่อไป      Level Switch (สวิตช์ลูกลอยตรวจจับระดับของเหลว) เป็น Level Switch ลูกลอยวัดระดับของเหลวแบบแกนสแตนเลส (SUS304/SUS316) โดยสามารถวัดระดับของเหลวประเภทนํ้า, น้ำมัน เป็นต้น ซึ่งใช้หลักการของ Magnet Switch เปลี่ยนแปลงสถานะของหน้าคอนแทค Relay แบบ NO/NC โดยมีหลักการทำงานการเปลี่ยนแปลงหน้าคอนแทค Relay จากการที่ลูกลอยเคลื่อนที่ขึ้น-ลงตามระดับของเหลว โดย Level Switch (สวิตช์ลูกลอยตรวจจับระดับของเหลว) มีทั้งแบบติดตั้งด้านบนและด้านข้างถัง ตามตัวอย่างดังรูป   ตัวอย่างรูปแบบลักษณะการติดตั้ง Level Switch (สวิตช์ลูกลอยตรวจจับระดับของเหลว) ตัวอย่างแบบของ Level Switch (สวิตช์ลูกลอยตรวจจับระดับของเหลว)      Level Sensor (เซ็นเซอร์ตรวจจับระดับของเหลว) เป็น Level Sensor เซ็นเซอร์ตรวจจับระดับของเหลวแบบต่อเนื่อง โดยอาศัยหลักการการเปลี่ยนแปลงของค่าความต้านทานที่ฝั่งอยู่ภายในแกนของ Level Sensor ตามการขึ้น-ลงของลูกลอย และส่งสัญญาณเอาต์พุตเป็นสัญญาณอนาล็อก 4-20mA โดยผู้ใช้งานสามารถนำสัญญาณ 4-20mA ไปใช้งานต่อ โดยสามารถต่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์แสดงผลหรืออุปกรณ์คอนโทรลต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ โดยบริเวณหัวกะโหลกของ Level Sensor (เซ็นเซอร์ตรวจจับระดับของเหลว) จะถูงฝังด้วยอุปกรณ์แปลงสัญญาณ Thermocouple, RTD (PT100) and Resistance เป็นสัญญาณอนาล็อกมาตรฐาน 4-20mA ภายในและแกนทำจากวัสดุสแตนเลส (SUS304/SUS316) สามารถวัดระดับของเหลวประเภทนํ้า, น้ำมัน เป็นต้น (ดังรูป)   ตัวอย่างรูปแบบ Level Sensor (เซ็นเซอร์ตรวจจับระดับของเหลว) ตัวอย่างแบบของ Level Sensor (เซ็นเซอร์ตรวจจับระดับของเหลว)      Cable Float Level Switch (ลูกลอยวัดระดับแบบสายเคเบิ้ล) หรือลูกลอยวัดระดับแบบสายเคเบิ้ล ที่ผู้ใช้งานทำการติดตั้งโดยการหย่อน Cable Float Level Switch (ลูกลอยวัดระดับแบบสายเคเบิ้ล) ลงไปในถังหรือบ่อบําบัดน้ำเสียเพื่อตรวจระดับน้ำและควบคุมให้อยูในตําแหน่งสูงหรือต่ำตามต้องการ เมื่อน้ำมีระดับสูงขึ้นลูกลอยจะอยูในลักษณะแนวนอน ทำให้สวิตช์อยูในตําแหน่ง OFF แต่ถ้าน้ำอยูในระดับต่ำลูกลอยจะอยู่ในลักษณะแนวตั้ง ทําให้สวิตช์อยูในตําแหน่ง ON และสวิตช์ที่อยูภายในลูกลอยเป็นแบบ Mercury Switch (สวิตช์ปรอท) ทําให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานในการตัด-ต่อได้มากกว่า 500,000 ครั้ง ตัวอย่างรูป Cable Float Level Switch (ลูกลอยวัดระดับแบบสายเคเบิ้ล) ตัวอย่างแบบของ Cable Float Level Switch (ลูกลอยวัดระดับแบบสายเคเบิ้ล)        โดยปัจจุบัน Level Sensor/Level Switch หรือเซ็นเซอร์วัดระดับของเหลว สำหรับใช้ในงานอุตสาหกรรมที่พบเห็นได้ทั่วไป ได้แก่  Level Switch (สวิตช์ลูกลอยตรวจจับระดับของเหลว), Cable Float Level Switch (ลูกลอยวัดระดับแบบสายเคเบิ้ล) หรือ Electrode Level Switch (อุปกรณ์วัดระดับแบบก้านอีเล็คโทรด), Ultrasonic Level Sensor (อุปกรณ์วัดระดับแบบอัลตร้าโซนิค) และ Capacitive Proximity Switch เป็นต้น ซึ่งการต่อใช้งานของเซ็นเซอร์วัดระดับของเหลว (Level Sensor) ในแต่ละเภทนั้นก็จะมีลักษณะการต่อใช้งานที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์วัดระดับของเหลว (Level Sensor) เหมือนกันก็ตาม โดยในวันนี้เราจะขอยกตัวอย่างการต่อใช้งานของ Level Switch & Level Sensor ในหัวข้อ 3 วิธีการต่อใช้งานของ Level Switch & Level Sensor แต่ละประเภทว่ามีวิธีและหลักการอย่างไร ดังนี้        แนะนำ 3 วิธีการต่อใช้งานของ Level Switch & Level Sensor แต่ละประเภท      1. วิธีการต่อใช้งาน Level Switch (สวิตช์ลูกลอยตรวจจับระดับของเหลว) ควบคุมระดับน้ำในแท็งก์น้ำ ร่วมกับ Pump Control      2. วิธีการต่อใช้งาน Level Sensor (เซ็นเซอร์ตรวจจับระดับของเหลว) แสดงและควบคุมระดับน้ำในแท็งก์น้ำ ร่วมกับ Digital Indicator      3. วิธีการต่อใช้งาน Cable Float Level Switch (ลูกลอยวัดระดับแบบสายเคเบิ้ล) ควบคุมระดับน้ำในถังบำบัดน้ำเสียร่วมกับ PLC        1. วิธีการต่อใช้งาน Level Switch (สวิตช์ลูกลอยตรวจจับระดับของเหลว) ควบคุมระดับน้ำในแท็งก์น้ำ ร่วมกับ Pump Control        ตัวอย่างการต่อใช้งาน Level Switch (สวิตช์ลูกลอยตรวจจับระดับของเหลว) รุ่น LP-04 ควบคุมระดับน้ำในแท็งก์น้ำ ร่วมกับ Pump Control รุ่น CM-015 ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานวัดระดับน้ำในแท็งก์และควบคุมปั๊มน้ำ ด้วย Level Switch (LP-04) ที่แท็งก์บน และ Mini Level Switch (LP-01/LP-02) ที่บ่อพักน้ำ ร่วมกับ Pump Control รุ่น CM-015-2        ตัวอย่างการต่อใช้งาน Side Level Switch (สวิตช์ลูกลอยตรวจจับระดับของเหลวแบบติดตั้งด้านข้าง) รุ่น LP-13N/LP-14 ควบคุมระดับน้ำในแท็งก์น้ำ ร่วมกับ Pump Control รุ่น PM-021N-2 ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานวัดระดับน้ำในแท็งก์และควบคุมปั๊มน้ำด้วยก้าน Electrode ที่แท็งก์บน และ Side Level Switch (LP-13N/LP-14 ) ที่บ่อพักน้ำ ร่วมกับ Pump Control รุ่น PM-021N-2        2. วิธีการต่อใช้งาน Level Indicator (เซ็นเซอร์ตรวจจับระดับของเหลว) เพื่อแสดงผลและควบคุมระดับน้ำในแท็งก์น้ำ ร่วมกับ PLC หรือ Bar Graph Indicator        ตัวอย่างการต่อใช้งาน Level Sensor (เซ็นเซอร์ตรวจจับระดับของเหลว) รุ่น LP-07-I (Output 4-20mA) เพื่อแสดงผลและควบคุมระดับน้ำในแท็งก์น้ำ ร่วมกับ PLC หรือ Level Sensor (เซ็นเซอร์ตรวจจับระดับของเหลว) รุ่น LP-07 แสดงและควบคุมระดับน้ำในแท็งก์น้ำ Bar Graph Indicator รุ่น TIM-95G   ตัวอย่างการต่อใช้งาน Level Sensor (LP-07-I) และนำสัญญาณ 4-20mA ไปต่อเข้ากับอุปกรณ์ PLC ในการแสดงปริมาณของของเหลวภายในถัง หรือนำไปควบคุมปริมาณของเหลวภายในถังต่อได้ ตัวอย่างการต่อใช้งาน Level Sensor (LP-07) ร่วมกับอุปกรณ์ Transmitter (EM-EN-Series) ในการแปลงค่าจากความต้านทานออกมาเป็นสัญญาณ 4-20mA เพื่อนำไปต่อเข้ากับอุปกรณ์แสดงผล (Digital  Indicator) TIM-95G ในการแสดงปริมาณของเหลวภายในถัง โดยสามารถเห็นสถานะของของเหลวแบบบาร์กราฟและตัวเลขที่อุปกรณ์แสดงผล (Digital  Indicator) TIM-95G        3. วิธีการต่อใช้งาน Cable Float Level Switch (ลูกลอยวัดระดับแบบสายเคเบิ้ล) ควบคุมระดับน้ำในถังบำบัดน้ำเสียร่วมกับเครื่องควบคุมปั๊มน้ำ        ตัวอย่างวิธีการต่อใช้งาน Cable Float Level Switch (ลูกลอยวัดระดับแบบสายเคเบิ้ล) รุ่น CP-01/CP-02 ควบคุมระดับน้ำในถังบำบัดน้ำเสียร่วมกับ Level Control รุ่น PM-021N-1 ตัวอย่างการต่อใช้งาน Cable Float Level Switch (CP-01) ร่วมกับ Level Control (PM-021N-1) สำหรับเช็คระดับน้ำ เมื่อถึงระดับ High หน้า Contact ก็จะทำงาน สั่งหยุดปั๊มสูบน้ำออกจากบ่อบำบัดน้ำเสีย        การประยุกต์ใช้งาน      • วัดและควบคุมระดับน้ำในแท็งก์คอนโด, หอพัก, อาคารสูง      • วัดและควบคุมระดับน้ำอุตสาหกรรมผลิตอาหารและเครื่องดื่ม      • ระบบบำบัดน้ำเสีย        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน Level Sensor/Level Switch (เซ็นเซอร์วัดระดับของเหลว/สวิตช์ลูกลอยตรวจจับระดับของเหลว)   ตัวอย่างการใช้งาน วัดและควบคุมระดับน้ำในแท็งก์บนอาคารสูง ด้วย Level Switch (LP-04) (บนแท็งก์บน) และ Cable Float Level Switch (CP-01) ในบ่อพักน้ำ ตัวอย่างการต่อใช้งาน Level Sensor (LP-07-I) ในเครื่อง Retort เพื่อต้องการทราบปริมาณน้ำในแท็งก์ โดยนำสัญญาณอนาล็อก (Output 4-20 mA) ไปต่อเข้า PLC ในการแสดงผลปริมาณน้ำภายในแท็งก์ ตัวอย่างการใช้งาน Cable Float Level Switch (CP-01) ในบ่อบำบัดน้ำเสีย ร่วมกับ Level Control (PM-021N-1) สำหรับเช็คระดับน้ำ   Lever Control For Conductive Liquids Single Pump Relay Single Pump Controller Twin Pump Controller PLC , Programmable Logic Controller โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
3 ข้อดี ของการเลือกใช้งาน Programmable Encoder

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      เอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) เป็นเซ็นเซอร์ที่ใช้สำหรับการวัดระยะทาง (Distance Sensor), ความเร็วรอบ (Speed), ทิศทางการหมุนของมอเตอร์ (Direction of Rotation), องศาการเคลื่อนที่ โดยอาศัยหลักการทำงานโดยการเข้ารหัสจากระยะทางจากการหมุนของแกนเพลา แล้วทำการแปลงออกมาในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้า (Pulse) เพื่อนำมาต่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์แสดงผล เช่น เครื่องนับจำนวน (Digital Counter), เครื่องวัดความถี่และระยะทาง (Freqenecy Meter), พีแอลซี (PLC) เป็นต้น      ปัจจุบันได้มีการนำเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) มาประยุกต์ใช้ในงานในงานอุตสาหกรรมได้อย่างหลากหลาย เช่น อุตสาหกรรมเครื่องบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ,  อุตสาหกรรมสิ่งทอ, อุตสาหกรรมหุ่นยนต์, อุตสาหกรรมสายพานลำเลียง, อุตสาหกรรมผลิตอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น โดยเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท ตามลักษณะของสัญญาณเอาต์พุต (Output Signal) คือ Encoder แบบ Increment หรือที่เรียกว่า Increment Encoder หรือ Rotary Encoder และ Encoder แบบ Absolute หรือที่เรียกว่า Absolute Encoder ซึ่งโดยหลักการเบื้องต้นของ Encoder ทั้ง 2 แบบนี้ มีหลักการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งทางเราได้มีการนำเสนอไว้ในหัวข้อ Increment Encoder ต่างกับ Absolute Encoder อย่างไร? โดยท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปดูข้อมูลที่ละเอียดเพิ่มเติมกันได้      เอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) โดยปกติทั่วไปแล้วจะมีรูปแบบและลักษณะการติดตั้งอยู่ 2 แบบ คือ แบบแกนเพลา (Shaft) และ Hollow Shaft หรือแบบรูกลวง (ดังรูป) รูปแบบลักษณะการติดตั้ง Encoder แบบ Hollow Shaft รูปแบบลักษณะการติดตั้ง Encoder แบบ Shaft ตัวอย่างการติดตั้ง Encoder แบบ Hollow Shaft เข้ากับ Bearing Motor ตัวอย่างการติดตั้ง Encoder แบบ Shaft เข้ากับ Bearing Motor      เอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) นั้นมีทั้งรูปแบบการกำหนดค่าพัลส์ต่อรอบ Pulse/Revolution ( Fixed Pulse) ในสเปคของแต่ละรุ่น และ Encoder รูปแบบการโปรแกรม (Programable) โดยการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่าน Software เพื่อกำหนดจำนวน Pulse/Revolution ของ Encoder ตามความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งในรูปแบบกำหนดค่าพัลส์ต่อรอบ P/R นั้น ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงความละเอียดในการวัดระยะจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) ใหม่ด้วยเช่นกัน ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ความยุ่งยากในการต่อสาย และอาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการติดตั้งใหม่      ในวันนี้เราจะมาแนะนำการเลือกใช้งานเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) ในรูปแบบของการโปรแกรม (Programmable Encoder) โดยการต่อ Programmable Encoder รุ่น PR-04 ยี่ห้อ Primus เพื่อโปรแกรมเลือกพัลส์ต่อรอบ P/R ร่วมกับพอร์ตแปลงสัญญาณพร้อมสายแบบ USB (Converter+USB Cable) PR-PRO เชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ผ่าน Software หรือต่อเข้ากับพีแอลซี (PLC) โดยตรง เพื่อสามารถเข้าไปตั้งค่าเปลี่ยนแปลงหรือเลือกย่านพัลส์ (Pulse) ได้ด้วยตนเอง (ตั้งแต่ 1-16,384 P/R) โดยผ่าน Software ดังนี้      ตัวอย่าง Programmable Encoder รุ่น PR-04 ยี่ห้อ Primus โดยต้องต่อร่วมกับพอร์ตแปลงสัญญาณพร้อมสายแบบ USB (Converter+USB Cable) รุ่น PR-PRO เชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ผ่าน Software      ข้อดีของ Programmable Encoder ที่มีความแตกต่างจาก Encoder แบบกำหนด Pulse ทั่วไป โดยได้สรุปมาเป็น 3 ข้อ หลัก ๆ ในหัวข้อ 3 ข้อดี ของการเลือกใช้งาน Programmable Encoder ดังนี้      1. สามารถกำหนด Revolution Pulse (P/R) ผู้ใช้งานสามารถการกำหนดค่า Pulse/Revolution ได้ตั้งแต่ 1-16,384 Pulse/Revolution ในตัวเดียวกัน โดยผ่าน Software ได้ตามที่ต้องการ กรณี Encoder รุ่นเดิมที่เลิกผลิตแล้ว ค่า Pulse/Revolution ไม่ได้เป็นค่า Standard เราสามารถเลือกใช้ Programmable Encoder รุ่น PR-04 เพื่อนำ Encoder ไปใช้ทดแทนรุ่นเดิม เป็นต้น      2. สามารถกำหนดทิศทางการหมุน (Rotation) ผู้ใช้งานสามารถกำหนดทิศทางของการหมุนตามเข็มนาฬิกา (CW) หรือทวนเข็มนาฬิกา (CCW) เพื่อตรวจเช็คสถานะทิศทางการหมุนของมอเตอร์หรือการเคลื่อนที่ไปหรือกลับของวัตถุบนสายพานลำเลียง ทำให้ประหยัดเวลาในการเดินไปตรวจเช็คที่ตัวมอเตอร์ของผู้ปฏิบัติงาน      3. สามารถกำหนด Index Position ผู้ใช้งานสามารถกำหนดตำแหน่งหรือมุมในการเคลื่อนที่ของ Encoder เช่น ใน 1 รอบของการหมุน มุมที่ต้องการ 180 องศา เป็นต้น หรือกำหนดการเคลื่อนที่ของเครื่อง CNC ในการเคลื่อนที่ไปยังชิ้นงานและกลับมายังตำแหน่งเดิม เป็นต้น      จาก 3 ข้อดีของการเลือกใช้งาน Programmable Encoder ทำให้ผู้ใช้งานสามารถนำ Programmable Encoder มาประยุกต์ใช้งาน โดยต่อร่วมกับอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อแสดงผลหรือควบคุมกำหนดทิศทางการหมุน และสามารถบอกทิศทางของการหมุนตามเข็มนาฬิกา (CW) หรือทวนเข็มนาฬิกา (CCW) เพื่อตรวจเช็คสถานะทิศทางการหมุนของมอเตอร์หรือการเคลื่อนที่ไปหรือกลับของวัตถุบนสายพานลำเลียง ทำให้ประหยัดเวลาในการเดินไปตรวจเช็คที่ตัวมอเตอร์ของผู้ปฏิบัติงานเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) ได้ดังนี้      ยกตัวอย่างการต่อใช้งาน Programmable Encoder Model : PR-04-Series ยี่ห้อ Primus ร่วมกับ RPM Meter รุ่น CM-001-L เพื่อวัดความเร็วรอบและ Line Speed ของมอเตอร์      เหมาะสำหรับใช้งานวัดค่า RPM (หน่วย : รอบต่อนาที) หรือวัดค่า Line Speed (หน่วย : cm/s หรือ m/s) ได้ภายในอุปกรณ์เดียว RPM & Line Speed Meter รุ่น CM-001-L      ยกตัวอย่างการต่อใช้งาน Programmable Encoder Model : PR-04-Series ยีห้อ Primus ร่วมกับ Digital Frequency Meter รุ่น TFM-94 เพื่อวัด RPM หรือ Line Speed ได้ และมี Transfer Output แบบ 4-20mA หรือ 0-10VDC หรือ RS-485 Modbus RTU Protocol      เหมาะสำหรับใช้งานวัดค่าความถี่ F (หน่วย : Hz) หรือวัดค่า LINE SPEED (หน่วย : cm/s หรือ m/s หรือ mm/s) หรือวัดค่า RPM (หน่วย : รอบต่อนาที) ได้ภายในอุปกรณ์เดียว Digital Frequency Meters with Alarm Meter รุ่น TFM-94-Series      เอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) แต่ละประเภทสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานในอุตสาหกรรมได้หลากหลาย ดังนี้      • Light-Duty Encoder ประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องพิมพ์, เครื่องมือแพทย์, ชิ้นส่วนอุปกรณ์เซมิคอนดัคเตอร์      • Industrial Encoder อุตสาหกรรมสิ่งทอ, อุตสาหกรรมพลาสติก, บรรจุภัณฑ์, อุตสาหกรรมเซรามิก, อุตสาหกรรมผลิตอาหารและเครื่องดื่ม      • Heavy-Duty Encoder เครน, ลิฟต์, รถบรรทุกลำเลียง, อุตสาหกรรมน้ำมัน, อุตสาหกรรมเหมืองแร่      ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน Encoder วัดความเร็วรอบของ Motor โดยใช้ Programmable Encoder แบบ Hollow Shaft วัดระยะความยาวของการเคลื่อนที่ของสายพาน โดยใช้ Programmable Encoder แบบ Shaft วัดความเร็วรอบของสายพานการผลิต โดยใช้  Programmable Encoder แบบ Shaft Increment Encoder ø50 mm. Increment Encoder ø38 mm. RPM & LINE SPEED MINI TACHOMETER Digital Frequency Meters With Alarm โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
4 วิธีการเลือก Power SCR อย่างไรให้เหมาะสมกับงาน

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      SCR (เอสซีอาร์) ย่อมาจาก ซิลิคอนคอนโทรลเร็คติไฟร์เออร์ (Silicon Control Rectifier) ที่เรียกกันโดยทั่ว ๆ ไป คือ SCR หรือ Power SCR เป็นอุปกรณ์จำพวกโซลิดสเตท (Solid State) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสวิตช์เปิด-ปิด (ON-OFF) ของวงจรทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเป็นเครื่องปรับหรือควบคุมการจ่ายกำลังไฟฟ้าเพื่อควบคุมฮีตเตอร์ (Heater) ซึ่งมีข้อดี คือ ไม่มีการเคลื่อนไหวของหน้าสัมผัส (Contact) ขณะเปิด-ปิดวงจร จึงทำให้ไม่เกิดประกายไฟ (Spark) ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานและไม่เกิดเสียงรบกวนขณะทำงาน        Power SCR หรือ SCR Power Regulator ลักษณะการนำไปใช้ในงานอุตสาหกรรม โดยส่วนใหญ่มักนำไปใช้ในการควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าสำหรับฮีตเตอร์ (Heater) ทุกชนิด เช่น งานควบคุมฮีตเตอร์ของเตาหลอมที่ใช้ความร้อนสูง, งานควบคุมอินฟราเรดฮีตเตอร์ เป็นต้น        Power SCR หรือ SCR Power Regulator   ตัวอย่าง Power SCR หรือ SCR Power Regulator รูปแสดง % Output Voltage ของ Power SCR หรือ SCR Power Regulator 3-Phase SCR Power Regulator (PSTA-01N-Series) รูปแสดง % Output Voltage        Power SCR หรือ SCR Power Regulator เป็นอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของฮีตเตอร์ (Heater) ด้วยการควบคุมแบบ Phase Angle Control จากสัญญาณควบคุม 0-20mA, 4-20mA, 0-5Vdc, 1-5Vdc, 0-10Vdc, 2-10Vdc, Potentiometer 2-10K Ohm, Dry Contact เป็นต้น ทำให้สามารถควบคุมกำลังไฟที่จ่ายให้กับ Load ได้ตาม % ของสัญญาณควบคุม        จากบทความที่ผ่านมาทางเราได้มีการนำเสนอข้อมูลของ Power SCR หรือ SCR Power Regulator เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้งาน ในหัวข้อ “การประยุกต์ใช้งาน SCR Power Regulator” เพื่อควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับฮีตเตอร์ (Heater) แบบ 3 เฟส ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจได้พอสังเขปเกี่ยวกับ Power SCR และในวันนี้เราจะมาแนะนำ ต่อด้วยวิธีการเลือก Power SCR เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ใช้งานที่กำลังค้นหา SCR Power Controller หรือ SCR Power Regulator ที่ตรงความต้องการได้อย่างเหมาะสม        และเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการเลือกใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยได้แบ่งเป็นข้อ ๆ ไว้ในหัวข้อ “4 วิธีการเลือก Power SCR อย่างไรให้เหมะสมกับงาน” ในบทความนี้จะขอยกตัวอย่าง Power SCR หรือ 3-Phase SCR Power Regulator ของยี่ห้อ Primus รุ่น PSTA-01N-Series โดยการเลือกใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมกับงานถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าเราเลือกใช้อุปกรณ์ได้เหมาะสมกับงานจะส่งผลให้งานของเรานั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการเลือกซื้อยกตัวอย่าง SCR Power Controller หรือ SCR Power Regulator มีดังต่อไปนี้   4 วิธีการเลือก Power SCR อย่างไรให้เหมะสมกับงาน 1. กระแสโหลด  (Rated Load Current) ต้องคำนึงถึงกระแสที่จะจ่ายให้กับโหลดนั้นมีขนาดเท่าไร โดยผู้ใช้งานสามาถดูได้จาก Name Plate จากด้านข้างของตัวอุปกรณ์ เพราะหากเลือกซื้ออุปกรณ์ที่จ่ายกระแสได้ไม่ถึงกระแสที่จะนำไปใช้งานจะทำให้โหลดนั้นไม่ทำงานได้ 2. ระบบกี่เฟส (Phase System) ควรคำนึงถึงระบบไฟฟ้าของโหลดว่าใช้กับระบบไฟกี่เฟส 1 Phase หรือ 3 Phase เพื่อเลือก SCR Power Controller หรือ SCR Power Regulator ให้เหมาะสมกับการใช้งาน 3. แรงดันไฟเลี้ยง (Power Supply) ควรทราบว่าอุปกรณ์ที่เราจะเลือกซื้อนั้นใช้ไฟเลี้ยงแบบใด เพราะหากเรานำอุปกรณ์ที่เลือกซื้อไปใช้งานเลยโดยไม่ดูว่าอุปกรณ์ชนิดนี้ใช้กับไฟเลี้ยงแบบใด เมื่อนำไปใช้งานจริงอาจทำให้อุปกรณ์เกิดความเสียหายขึ้นได้ 4. ข้อมูลเทคนิคต่าง ๆ ที่จำเป็นดังตารางทาง Specification        ข้อดีของการเลือกใช้ Power SCR หรือ SCR Power Regulator (Model : PSTA-01N-Series) ยี่ห้อ Primus      • สามารถปรับตั้งค่า Output Voltage สูงสุด (Max) และค่า Control Signals ต่ำสุดที่จะเริ่มขับ Output Voltage (BIAS) ได้อิสระจากกัน      • สามารถตั้งค่า Rising Time ได้ 1-22 Seconds      • สามารถใช้กับระบบไฟ Main Power 480VAC ที่ความถี่ 50/60 Hz      • รับ Auxiliary Power (AC1, AC2) แยกอิสระ SCR Module      • รับสัญญาณ Input 4-20mA, 0-20mA, 0-5VDC, 1-5VDC, 2-10VDC, 0-10VDC, Potentiometer 2-10K Ohm, Dry Contact      • มี LED แสดงสถานะการทำงาน Power, Input, Output, TH Err, Fuse/Source Err      • สามารถตรวจจับ Power Out-Of-Phase, SCR Overheating และ Fuse Burn-Down แล้วแสดงที่ LED พร้อมทั้งแจ้งเตือนด้วย Alarm Dry Contact Output และหยุดขับ Output ทันที เมื่อไฟกลับมาปกติอุปกรณ์จึงเริ่มขับ Output เพื่อป้องกัน Fuse Burn-Down      • มี Heat Sink ระบายความร้อน        จากตาราง 4 วิธีการเลือก Power SCR อย่างไรให้เหมะสมกับงานและข้อดีของการเลือกใช้ Power SCR Power หรือ SCR Power Regulator ดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น สามารถนำมาประยุกต์โดยการต่อใช้งาน Power SCR Power หรือ SCR Power Regulator (Model : PSTA-01N-Series ยีห้อ Primus) ร่วมกับ Load Heater ประเภท Coil Heater ดังนี้        ตัวอย่างการต่อใช้งาน Power SCR หรือ SCR Power Regulator (Model : PSTA-01N-Series ยีห้อ Primus) ร่วมกับ Load Heater ประเภท Coil Heater        Power SCR หรือ SCR Power Regulator ใช้สำหรับการควบคุมความร้อนของเตาอบ เตาเผาไฟฟ้า โดยใช้ตัว PLC หรือ Controller เป็นตัวสั่งการ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการควบคุมแบบเร่งหรี่ เช่น งานอบอาหาร งานอบขนม งานอบเซรามิก เป็นต้น เพื่อควบคุมอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ ลดค่าพลังงานไฟฟ้าและป้องกันอุณหภูมิขึ้น-ลงเร็ว อาจส่งผลให้ชิ้นงานเสียหายได้        ข้อแนะนำ : ในการเลือกใช้งาน Power SCR Controller หรือ SCR Power Regulator นั้น ควรใช้งานไม่เกิน 70% ของกระแสสูงสุดของ SCR เช่น SCR ขนาดพิกัดกระแส 100A ดังนั้น ฮีตเตอร์ (Heater) ที่ต่อร่วมไม่ควรเกิน 70A เป็นต้น        การประยุกต์ใช้งาน Power SCR หรือ SCR Power Regulator      • อุตสาหกรรมอาหาร เช่น เตาอบขนมปัง เครื่องขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์      • อุตสาหกรรมเครื่องประดับ เช่น ตู้อบพลอย      • อุตสาหกรรมเซรามิก เช่น เตาเผาเซรามิก        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน Power SCR หรือ SCR Power Regulator   เตาอบอุโมงค์ เตาเผาพลอย เตาจิวเวอรี่ อุตสาหกรรมเซรามิค เช่น เตาเผาเซรามิค 3-Phase SCR Power Regulator Digital Temperature Controller Finned Heater ฮีตเตอร์ครีบ Tubular Heater ฮีตเตอร์ท่อกลม PLC , Programmable Logic Controller   โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
10 วิธีในการพิจารณาเลือก Tower Light (ไฟแจ้งเตือนสถานะของเครื่องจักร) ให้เหมาะสม

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      ทาวเวอร์ไลท์ (Tower Light) คือ ไฟสัญญาณแจ้งเตือนสถานะการทำงานของเครื่องจักรในกระบวนการผลิต เพื่อเป็นสัญญาณในการแจ้งเตือนให้ผู้ปฏิบัติงานได้ทราบถึงสถานะการทำงานของเครื่องจักร ยกตัวอย่างเช่น เครื่องจักรเกิดความขัดข้อง, เครื่องจักรหยุดการทำงาน, เครื่องจักรกำลังทำงาน หรือสาเหตุอื่น ๆ เป็นต้น        ปัจจุบันทาวเวอร์ไลท์ (Tower Light) ที่พบเห็นในงานประเภทอุตสาหกรรมจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ, รุ่น, รูปแบบการใช้งาน, ลักษณะการติดตั้ง, ขนาด, จำนวนชั้น, สี, แรงดันไฟเลี้ยง หรือการส่งข้อมูลแจ้งเตือนผ่าน Computer ด้วย RS-485 เพื่อนำไปใช้งานได้อย่างเหมาะสม เช่น การแจ้งเตือนแบบไฟสัญญาณ (Signal Tower Light), การแจ้งเตือนแบบไฟสัญญาณพร้อมเสียง (Signal Tower Light With Buzzer) หรือรูปแบบของไฟหมุนสัญญาณแจ้งเตือน (Rotation Warning Light) เป็นต้น        รูปแบบของไฟสัญญาณแจ้งเตือนสถานะของเครื่องจักรทาวเวอร์ไลท์ (Tower Light) และ ไฟหมุนสัญญาณแจ้งเตือน (Rotation Warning Light) ดังรูป   ทาวเวอร์ไลท์ (Tower Light) TL40-Series ทาวเวอร์ไลท์ (Tower Light) TL60-Series ทาวเวอร์ไลท์ (Tower Light)  TL80-Series ไฟหมุนสัญญาณแจ้งเตือน (Rotation Warning Light) TLW-Series ขนาด 40 mm. ขนาด 60 mm. ขนาด 80 mm. ขนาด 105 mm.        ทาวเวอร์ไลท์ (Tower Light) นอกจากรูปแบบต่าง ๆ ข้างต้นแล้ว การต่อใช้งานก็มีความสำคัญต่อการเลือกใช้งานของ Tower Light เช่นกัน โดยมีการต่อกับไฟเลี้ยงทั้งแบบ Supply DC (12VDC, 24VAC/DC) และการต่อแบบใช้ Supply AC (220VAC) เป็นต้น เพื่อการนำไปใช้งานได้อย่างเหมาะสมในการต่อร่วมกับอุปกรณ์อื่น ๆ ในระบบควบคุม เช่น การต่อใช้งานแบบแรงดันไฟเลี้ยง 24VAC/DC ส่วนใหญ่จะใช้งานร่วมกับ PLC เป็นหลัก โดยต่อจากสัญญาณ Output ของ PLC เช่น NPN หรือ PNP เพื่อสั่งให้ LED ของ Tower Light ติดค้าง (Continuous Lighting) หรือติดกระพริบได้ โดยคำสั่ง ON-OFF จาก PLC และมีการต่อใช้งานแบบแรงดันไฟเลี้ยง 24VAC/DC (Supply แยก) หรือแรงดันไฟเลี้ยง 220VAC (Supply แยก) ดังนี้        การต่อใช้งานแบบแรงดันไฟเลี้ยง 24VAC/DC (Supply แยก) เป็นการต่อใช้งานผ่านหน้าคอนแทค (External Contact) ในการต่อใช้งานโดยใช้สาย Common (สีเทา) แบบติดค้าง (Continuous Lighting) หรือใช้สาย Common (สีน้ำตาล) แบบติดกระพริบ (Flashing  Lighting) เพื่อสั่งให้ LED ของ Tower Light ทำงาน        การต่อใช้งานแบบแรงดันไฟเลี้ยง 220VAC (Supply แยก) เป็นการต่อใช้งานผ่านหน้าคอนแทค (External Contact) ในการต่อใช้งานโดยใช้สาย Common (สีเทา) แบบติดค้าง (Continuous Lighting) หรือใช้สาย Common (สีน้ำตาล) แบบติดกระพริบ (Flashing  Lighting) เพื่อสั่งให้ LED ของ Tower Light ทำงาน เป็นต้น ซึ่งทางเราได้มีการนำเสนอกันไว้ในหัวข้อ “การต่อใช้งาน Tower Light แบบใช้ Supply DC กับ แบบใช้ Supply AC ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร?” และเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการเลือกไฟแจ้งเตือนสถานะของเครื่องจักร (Tower Light) หรือไฟหมุนสัญญาณแจ้งเตือน (Rotation Warning Light) ที่ถูกต้อง เพื่อสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยในวันนี้เราจะมาแนะกันต่อด้วยเทคนิคเพิ่มเติมในการเลือกใช้งาน Tower Light ในหัวข้อ “10 วิธีในการพิจารณาเลือก Tower Light (ไฟแจ้งเตือนสถานะของเครื่องจักร) ให้เหมาะสม” โดยได้สรุปมาเป็น 10 ข้อ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนี้        ยกตัวอย่าง ทาวเวอร์ไลท์ (Tower Light) รุ่น TL-Series ยี่ห้อ Primus   10 วิธีในการพิจารณาเลือก Tower Light (ไฟแจ้งเตือนสถานะของเครื่องจักร) ให้เหมาะสม 1. สี (Color) สามารถเลือกจำนวนสีและระบุสีได้ตามความต้องการ ** สูงสุด 5 สี (เขียว, เหลือง, แดง, น้ำเงิน, ขาว) ซึ่งแต่ละสีจะมีความหมายในการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น สีแดง หมายถึง เครื่องจักรหยุดการทำงาน, สีเหลือง หมายถึง เครื่องจักรอยู่ระหว่างการซ่อม, สีเขียว หมายถึง เครื่องจักรกำลังทำงาน เป็นต้น 2. จำนวนชั้น (Floor) จำนวนชั้นสามารถระบุเลือกตั้งแต่ 1-5 ชั้น ได้ตามความต้องการ 3. ขนาด เส้นผ่านศูนย์กลาง (Diameter) การเลือกขนาดควรพิจารณาจากพื้นที่ที่ต้องการติดตั้ง 40 mm.,60 mm., 80 mm. เป็นต้น 4. รูปแบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน (Alarm Pattern) สัญญาณไฟติดแบบต่อเนื่อง (Continuous Lighting) และสัญญาณไฟติดแบบกระพริบ (Continuous Lighting) **โดยสามารถเลือกการกระพริบของหลอดไฟด้วยวิธีการต่อสาย 5. มีเสียง (Buzzer) / ไม่มีเสียง (None Buzzer) Buzzer แจ้งเตือนที่ความดัง 90 dB Max (at 1M.) สามารถระบุว่าต้องการ Buzzer หรือไม่ต้องการได้ 6. แรงดันไฟเลี้ยง (Power Supply) แรงดันไฟเลี้ยงมีให้เลือกเป็น 24VAC/VDC และ 100-240VAC 7. Option RS-485 สามารถระบุเลือก RS-485 MODBUS RTU Protocol Communication 8. วัสดุ (Material) Tower : ABS-V0, Bracket : ABS-V0 / Steel / SUS316, Pole : Aluminum / SUS316 9. ระดับการป้อง (IP) IP54 (ป้องกันฝุ่นได้ แต่ฝุ่นที่เล็ดลอดเข้าไปนั้นต้องไม่มีผลใด ๆ ต่อการทำงานของอุปกรณ์ และป้องกันละอองน้ำที่ตกกระทบตัวอุปกรณ์ได้จากทุกทิศทาง) 10. รูปแบบการติดตั้ง (Installation)          จากตาราง 10 วิธีในการพิจารณาเลือก Tower Light (ไฟแจ้งเตือนสถานะของเครื่องจักร) ให้เหมาะสม หากผู้ใช้งานสามารถพิจารณาเลือกรุ่นให้เหมาะสมแล้วจะส่งผลให้เกิดข้อดีในการใช้งานดังนี้      • อายุการใช้งานของทาวเวอร์ไลท์ (Tower Light) ยาวนานขึ้น      • ทำให้ทราบถึงสถานะการทำงานของเครื่องจักรที่ถูกต้อง ไม่เกิดอันตรายกับพนักงาน และกรณีที่เครื่องจักรขัดข้องการแสดงสถานะด้วยสัญญาณเสียงและแสงหรือการกระพริบ ทำให้พนักงานแจ้งให้ช่างเข้ามาตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว      • การติดตั้งที่เหมาะสมทำให้ประหยัดพื้นที่และมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย      • ช่วยเพิ่มระดับความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม      • ประหยัดในการเดินสาย โดยการใช้ Option RS-485 เชื่อมต่อกับ PLC หรือ Computer        ตัวอย่างการต่อใช้งาน Tower Light รุ่น TL-40-300-P3B3-GYR ร่วมกับ Digital Indicator TIM-94N-ABC-M เพื่อแสดงสถานะการทำงานอุณหภูมิของเครื่องจักร        จากรูปวงจรการต่อใช้งาน Tower Light เพื่อแสดงสถานะ โดยมี Alarm แจ้งเตือนอุณหภูมิของเครื่องจักร โดยสามารถตั้งค่าอุณหภูมิที่ต้องการให้ Alarm ทำงานเพื่อโชว์ที่ Tower Light ดังนี้ (สีแดง = High, สีเหลือง = Medium, สีเขียว = Low) เป็นต้น        ตัวอย่างการต่อใช้งาน Tower Light รุ่น TL-60-300-P3B3-GYR ร่วมกับ Digital Counter CMT-007A-ABC-24-220 เพื่อแสดงสถานะการทำงานของไลน์ผลิตบรรจุภัณฑ์และแสดงผลโชว์สถานะ Alarm ของชิ้นงาน        จากรูปวงจรการต่อใช้งานของ Tower Light เป็นอุปกรณ์แสดงสถานะ Alarm ของไลน์ผลิตนมเพื่อนับชิ้นงานที่ตั้งค่าไว้ โดยมี 3 Setpoint ที่ตั้งค่าไว้ เพื่อนำไปโชว์สถานะ Alarm Tower Light (สีแดง Alarm 3 = 1000 ชิ้น, สีเหลือง Alarm 2 = 500 ชิ้น, สีเขียว Alarm 1 = 100 ชิ้น)        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานไฟสัญญาณแจ้งเตือนสถานะของเครื่องจักรทาวเวอร์ไลท์ (Tower Light)   Tower Light แสดงสถานะการทำงานของเครื่องจักร Tower Light แสดงสถานะ Alarm ของตู้คอนโทรล ในกรณีที่ตู้คอนโทรลมีความร้อนเกินกว่าปกติ Rotation Warning Light Signal Tower Light Slim Relay Module Switching Power Supply 5A SPDT Relay Module   โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
PLC+HMI ราคาถูก มีคุณสมบัติอะไรบ้าง?

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      PLC (พีแอลซี) ย่อมาจาก โปรแกรมเมเบิลลอจิกคอลโทรลเลอร์ (Programmable Logic Controller) หรือ PLC+HMI เป็นการทำงานร่วมกัน โดยใช้ PLC เป็นตัวควบคุม และ HMI เป็นตัวสื่อสารระหว่างผู้ใช้งาน (Human) กับระบบ Module PLC หรือจอแสดงผลต่าง ๆ โดยให้ PLC สั่งงานไปที่เครื่องจักร (Machine) อีกที ปัจจุบันได้มีนำ PLC+HMI มาใช้งานในอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก เช่น อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ฯลฯ เพื่อใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องจักรหรือระบบโซลูชั่นต่าง ๆ แบบอัตโนมัติ ซึ่งพีแอลซี (PLC) มีหลากหลายรุ่นและยี่ห้อที่แตกต่างกันเพื่อการเลือกใช้ให้เหมาะสม เช่น PLC ที่มีขนาดเล็ก (Micro PLC) ที่มีจำนวน Input/Output ไม่มากนัก (ราคาถูก) และ Vision PLC ที่มีการแสดงผลหน้าจอแบบ Graphic, LCD หรือ PLC แบบใช้ปุ่มกด (Keypad Switch), PLC แบบ Touch Screen เป็นต้น โดย PLC แต่ละรุ่นจะมีจำนวนอินพุต (Input) และเอาต์พุต (Output) ของอุปกรณ์ที่สามารถทำการเชื่อมต่อกับ PLC ได้แตกต่างกัน รวมถึงพอร์ตที่ใช้ในการสื่อสารต่าง ๆ กับ PLC ด้วย        จากบทความที่ผ่านมาทางผู้จัดทำได้มีการนำเสนอในหัวข้อ “ทำไมต้องใช้ PLC+HMI ในการควบคุมเครื่องจักรในยุคปัจจุบัน” กันไปแล้ว ซึ่งได้มีการกล่าวถึงหลักการทำงานและการประยุกต์ใช้งาน รวมถึงแนะนำ PLC+HMI รุ่นและรูปแบบต่าง ๆ ที่พบเห็นในตลาดอุตสาหกรรม ซึ่งแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ ก็มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างกันออกไป โดยในวันนี้เราจะขอแนะนำ PLC+HMI สำหรับรุ่นราคาถูก ราคาประหยัด กรณีที่ผู้ใช้งานไม่ต้องการ Features พิเศษมากนัก เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับผู้ใช้งานที่กำลังค้นหา PLC+HMI ที่ราคาไม่แรง แต่มีคุณสมบัติครบครัน ในหัวข้อ “PLC+HMI ราคาถูก มีคุณสมบัติอะไรบ้าง” โดยจะขอยกตัวอย่าง PLC+HMI รุ่น JAZZ-Series (Jazz, Jazz-J) ซึ่งเป็น PLC ที่มีขนาดเล็ก (Micro PLC) ดังนี้        คุณสมบัติ PLC+HMI รุ่น JAZZ-Series (Jazz, Jazz-J) รุ่นราคาถูก ราคาประหยัด   Jazz Micro-OPLC Programmable Logic Control+HMI (PLC+HMI) Model : JAZZ / Brand : UNITRONICS Jazz Micro-OPLC Programmable Logic Control+HMI (PLC+HMI) Model : JAZZ-J / Brand : UNITRONICS คุณสมบัติเด่น คุณสมบัติเด่น จอแสดงผลชนิดตัวอักษร/ตัวเลข 2 บรรทัด ออกแบบหน้าจอได้ 60 หน้า IP65/NEMA4X High-Speed Counter & PWM Output Auto-Tune PID, Up to 4 Loops สามารถต่อ Input Temperature ได้โดยตรง สามารถสื่อสารแบบ RS-232/485 ได้ (Option) รองรับ Font ได้ 15 ภาษา      จากคุณสมบัติของ Jazz Micro-OPLC Programmable Logic Control+HMI (PLC+HMI) Model : JAZZ Series (UNITRONICS) และ Model : JAZZ-J Series (UNITRONICS) ข้างต้นผู้ใช้สามารถพิจารณาเลือกการใช้งานจากข้อมูล Specification ได้ตามตารางด้านล่างนี้      Specification Jazz Micro-OPLC Programmable Logic Control+HMI (PLC+HMI)        ดังนั้น หากผู้ใช้มีงบประมาณที่จำกัด PLC ที่มีขนาดเล็ก (Micro PLC/Micro OPLC) รุ่น Jazz Series และ Jazz-J Series ก็สามารถเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้ดี โดยสิ่งที่ต้องพิจารณาเลือก PLC+HMI ให้เหมาะสมกับงาน เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดควรมีหลักการในการพิจารณาดังนี้      • ชนิดของ Input ที่รับเข้า PLC+HMI เป็นชนิดใด ตรงกับรุ่น PLC+HMI รุ่นราคาประหยัดหรือไม่      • ชนิดของ Output สำหรับนำไปต่อร่วมเพื่อควบคุมหรือสั่งงานเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ      • สามารถต่อการใช้งานและตรวจสอบการทำงาน หรือการ Maintenance ได้ง่ายหรือไม่      • พื้นที่ในการติดตั้ง PLC+HMI      • สามารถหาสายในการเชื่อมต่อ PLC ได้ง่าย        ตัวอย่างการต่อใช้งาน Jazz Micro-OPLC Programmable Logic Control+HMI (PLC+HMI) ร่วมกับเซ็นเซอร์วัอุณหภูมิ เพื่อควบคุมการให้ความร้อนของ Heater ในการอบแห้งผลไม้ ตัวอย่างการนำ PLC Jazz Micro-OPLC Programmable Logic Control+HMI (PLC+HMI) มาต่อใช้งานร่วมกับเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ (Temperature Sensor) เพื่อควบคุมการให้ความร้อนของ Heater ในการอบแห้งผลไม้        จากตัวอย่างการต่อใช้งาน Jazz Micro-OPLC Programmable Logic Control+HMI (PLC+HMI) ร่วมกับเซ็นเซอร์วัอุณหภูมิ เช่น Thermocouple, RTD Pt100 เพื่อควบคุมการให้ความร้อนของ Heater ในการอบแห้งผลไม้ข้างต้น โดยสามารถเขียนโปรแกรม Ladder ได้ดังนี้        ตัวอย่างการเขียนโปรแกรม Ladder การต่อใช้งาน Jazz Micro-OPLC Programmable Logic Control+HMI (PLC+HMI) ร่วมกับเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ (Temperature Sensor) เพื่อควบคุมการให้ความร้อนของ Heater ในการอบแห้งผลไม้      จากรูปเป็นการเขียนแลดเดอร์โปรแกรมแบบง่ายที่เข้าใจง่าย โดยเมื่อเราตั้งค่า SETPOINT จะนำมาลบกับค่า Diff ซึ่งจะเป็นค่าที่ตั้งให้ฮีตเตอร์ทำงาน (OUT 0) โดยค่าอุณหภูมิ TEMP SENSOR ต้องน้อยกว่าค่า Diff และถ้าอุณหภูมิมมากกว่าค่า SETPOINT จะสั่งให้ฮีตเตอร์ (Heater) หยุดทำงาน      ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน PLC (Programmable Logic Controller)   ระบบสูบน้ำการประปาภูมิภาค ติดตั้งหน้างานที่จังหวัดพะเยา ตู้ควบคุมอุณหภมิและฆ่าเชื้อในโรงพยาบาล ระบบบำบัดน้ำเสีย Jazz Micro-OPLC Vision Programmable Logic Control Temperature Sensor Finned Heater Quartz Heater   โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
ข้อดีของการใช้ Pump Control ร่วมกับ Soft Start & Soft Stop Motor ในการควบคุมปั๊ม

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      เครื่องควบคุมปั๊มน้ำ (Water Pump Control) หรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) เป็นอุปกรณ์ควบคุมปั๊มน้ำให้ทำงานสัมพันธ์กันระหว่างระดับของบ่อพักน้ำ (Water Well) และถังเก็บน้ำ (Water Tank) สามารถใช้ได้ทั้งระบบไฟ 1 Phase และ 3 Phase โดยมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของปั๊มน้ำ (Water Pump) ให้เป็นแบบอัตโนมัติ โดยสั่งให้ปั๊มหยุดขณะปิดวาล์วหรือสั่งปั๊มหยุดการทำงานในขณะน้ำขาดหรือแรงดันต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ปั๊มน้ำเสียหายหรือปั๊มน้ำไหม้เกิดขึ้น โดยมีการทำงาน 3 เงื่อนไข ดังนี้        เงื่อนไขการควบคุมปั๊มน้ำของเครื่องควบคุมปั๊มน้ำ (Water Pump Control) หรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control)      1. Transfer Pump ระบบการสูบน้ำจากต้นทางไปยังปลายทาง (แบบเปิด) หรือจากถังน้ำด้านล่างส่งไปที่ถังน้ำด้านบน และใช้หลักการแรงโน้มถ่วงเพื่อไปจ่ายในระบบ เหมาะสำหรับตึก, อาคารสูง โดยใช้ก้านอิเล็กโทรด, ลูกลอย (Float) หรือ Level Control เป็นต้น      2. Booster Pump ระบบปั๊มน้ำเสริมแรงดัน คือ ระบบเพิ่มแรงดัน (แบบปิด) และรักษาระดับแรงดันน้ำในท่อ โดยใช้ถังแรงดันเป็นตัวช่วยทำให้แรงดันน้ำในระบบมีความสม่ำเสมอ โดยอาศัยการทำงานของ Pressure Switch ช่วยในการตัดต่อสั่งงาน (Start) และหยุดการทำงาน (Stop)      3. Drainage Pump ระบบปั๊มน้ำของบ่อบำบัดน้ำเสีย โดยจะเช็คระดับน้ำที่ไหลเข้ามาในบ่อโดยใช้ลูกลอย (Float) ในการตรวจจับระดับน้ำเพื่อสั่งให้ปั๊มทำงาน โดยจะทำงานตรงข้ามกันกับระบบ Transfer Pump        สำหรับการใช้งานแต่ละฟังก์ชันนั้นจะมีการทำงานแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับหน้างาน โดยเครื่องควบคุมปั๊มน้ำ (Water Pump Control) จะมีหลายประเภท เช่น ในตู้ควบคุมปั๊มน้ำจะมีอุปกรณ์หลาย ๆ ตัวภายในตู้ ซึ่งอุปกรณ์หลัก ๆ ที่จะต้องมี คือ อุปกรณ์เช็คกระแสเกิน (Current Protection Relay), Over Load, อุปกรณ์ป้องกันไฟตก-ไฟเกิน (Voltage Protection Relay), อุปกรณ์ป้องกันปั๊มน้ำเดินตัวเปล่า (Dry Run Protection Relay), อุปกรณ์ควบคุมระดับน้ำ (Level Control), มิเตอร์วัดชั่วโมงการทำงาน (Hour Counter) และอุปกรณ์แสดงผลค่าต่าง ๆ ทางไฟฟ้า เช่น มิเตอร์วัดแรงดัน (Voltmeter), มิเตอร์วัดกระแส (Ampmeter) เป็นต้น โดยปัจจุบันมีเครื่องที่ตอบโจทย์ฟังก์ชันครบทุกการทำงานต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นที่รวมไว้อยู่ภายในตัวเดียว รุ่น CM-015 ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมปั๊มน้ำ, การป้องกันปั๊มน้ำ หรือการแสดงผลระดับน้ำหรือแสดงผลค่าทางไฟฟ้าต่าง ๆ เป็นต้น        1. เครื่องควบคุมปั๊มน้ำ (Control Water Pump) หรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control)   เครื่องควบคุมปั๊มน้ำแบบ DIN Rail (Pump Relay) เครื่องควบคุมปั๊มน้ำแบบ Panel (Digital Pump Controller) Model : PM-021N-3 ยี่ห้อ Primus Model : CM-015-2 ยี่ห้อ Primus Model : CM-015-2-3-E ยี่ห้อ Primus      เครื่องควบคุมปั๊มน้ำ (Control Water Pump) หรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) โดยทั่วไปจะใช้เซ็นเซอร์วัดระดับน้ำ (Level Sensor) ประเภทต่าง ๆ ในการติดตั้ง เช่น ติดตั้งโดยการใช้สวิตช์ลูกลอยตรวจจับระดับของเหลว (Level Switch), อุปกรณ์วัดระดับแบบก้านอีเล็คโทรด (Electrode Level Switch), สวิตช์ควบคุมแรงดัน (Pressure Switch) เป็นต้น      2. Soft Start and Soft Stop Motor (ซอฟสตาร์ทและซอฟสตอปมอเตอร์) Soft Start and Soft Stop Motor (ซอฟสตาร์ทและซอฟสตอปมอเตอร์) Soft Start and Soft Stop Motor (ซอฟสตาร์ทและซอฟสตอปมอเตอร์) กราฟแสดงผลที่ได้จากการสตาร์ทแบบต่อตรงมอเตอร์ (Direct On Line) กับผลที่ได้จากการสตาร์ท แบบต่อร่วม Soft Start & Soft Stop PI-01 (1.5HP) และ PI-02 (3HP) PI-03N (7.5HP) และ PI-04N (10HP)      Soft Start and Soft Stop Motor (ซอฟสตาร์ทและซอฟสตอปมอเตอร์) เป็นอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการสตาร์ทและสตอปของมอเตอร์เพื่อลดกระแสในช่วง Start และลดอาการกระชากของกระแสไฟฟ้าในช่วงของการสตาร์ทของมอเตอร์ เมื่อเทียบกับการสตาร์ทแบบปกติที่ใช้คอนแทคเตอร์ และการสตาร์ทแบบซอฟสตาร์ทยังช่วยยืดอายุการใช้งานเมื่อทำงานร่วมกับระบบแมคคานิค ทำให้มอเตอร์และกลไกขับในการเคลื่อนต่าง ๆ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้น      เครื่องควบคุมปั๊มน้ำ (Control Water Pump) หรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) และ Soft Start and Soft Stop Motor (ซอฟสตาร์ทและซอฟสตอปมอเตอร์) ข้อมูลโดยละเอียดทางผู้จัดทำได้มีการนำเสนอกันไปบ้างแล้ว โดยท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหัวข้อ เครื่องควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว พร้อมจอแสดงผล (Twin Pump Controller) และลดปัญหามอเตอร์กระชากขณะออกตัว ด้วย Soft Start & Soft Stop โดยในวันนี้เราจะขอยกตัวอย่างการใช้อุปกรณ์เครื่องควบคุมปั๊มน้ำ (Control Water Pump) หรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) และ Soft Start and Soft Stop Motor (ซอฟสตาร์ทและซอฟสตอปมอเตอร์) ด้วยการนำเอาอุปกรณ์ทั้ง 2 ประเภทนี้มาใช้งานร่วมกันในการควบคุมปั๊ม (Pump Control) ในหัวข้อ "ข้อดีของการใช้ Pump Control ร่วมกับ Soft Start & Soft Stop Motorในการควบคุมปั๊ม"        ตารางข้อดีของการใช้อุปกรณ์ควบคุมปั๊มน้ำ (Pump Control) ร่วมกับ Soft Start & Soft Stop Motor ในการควบคุมปั๊ม   ข้อดีของ Pump Control ยกตัวอย่างเป็นรุ่น CM-015-2 ข้อดีของ Soft Start & Soft Stop Motor ยกตัวอย่างเป็นรุ่น PI-Series • ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง • การ Wiring สายไม่ยุ่งยาก และตรวจสอบหรือซ่อมบำรุงได้ง่าย • มี Function ในตัวเดียวกันหลากหลาย โดยไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์อื่นเพิ่ม • ประหยัดงบประมาณ • สามารถทราบระดับน้ำภายในบ่อพักน้ำ (Water Well) และถังเก็บน้ำสำหรับใช้งาน (Water Tank) ขณะทำงานได้ • สามารถมองเห็นสถานะการทำงานของ Pump แต่ละตัวได้ • สามารถมองเห็นสถานะความผิดปกติของระดับน้ำ, Sensor, Voltage Protection • ในกรณีที่ปั๊มตัวใดตัวนึงมีปัญหา เราสามารถ OFF เพื่อทำการตัดระบบได้ • ช่วยให้การออกตัวของมอเตอร์แบบนิ่มนวล ซึ่งจะมีประโยชน์มากกับระบบเครนที่ใช้ยกสินค้าและเครื่องจักรแบบสายพานลำเลียง • ช่วยลดกระแสขณะ Start Motor เมื่อเทียบกับการ Start แบบ Direct On Line (DOL) • ช่วยลดการสึกหรอของ Mechanical Part ที่ติดตั้งกับมอเตอร์ได้ • สามารถเปลี่ยนการ Start แบบเก่าที่ใช้ Magnetic Contactor โดยใช้ PI-Series แทนอุปกรณ์เดิมได้  และไม่ยุ่งยากในการต่อใช้งาน • อุปกรณ์มีขนาดเล็ก (Compact Size) ทำให้ประหยัดพื้นที่ในตู้ และสามารถยึดบนราง Din Rail ได้เลย          จากตารางข้อดีของ Pump Control และ Soft Start & Soft Stop Motor ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น หากเราใช้ Pump Control ร่วมกับ Soft Start & Soft Stop Motor สามารถต่อใช้งานร่วมกันได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้        ตัวอย่างการต่อใช้งานอุปกรณ์ควบคุมปั๊มน้ำ (Pump Control) รุ่น PM-021N-2-3 ร่วมกับ Soft Start & Soft Stop Motor รุ่น PI-03N ในการควบคุมการทำงานของปั๊ม        การต่อใช้งาน Din Rail Pump Control รุ่น PM-021N-2-3 ร่วมกับ Soft Start & Soft Stop Motor รุ่น PI-03N (7.5 HP) ในการคอนโทรลปั๊มน้ำ Single Pump ขนาด 7.5 HP โดยจะเริ่มจากการเช็คระดับน้ำของแทงก์บนและแทงก์ล่าง หากแทงก์บนที่ใช้งานมีระดับน้ำลดต่ำจนถึง Low ตัว Pump Control ก็จะทำการสั่งให้ปั๊มน้ำสูบน้ำขึ้นแทงก์ ส่วน Soft Start & Soft Stop Motor รุ่น PI-03N ก็จะช่วยในการออกตัวของปั๊มน้ำให้ออกตัวและหยุดแบบนิ่มนวล (Soft Start and Soft Stop) ทำให้มอเตอร์ไม่เกิดการกระชากและช่วยลดการกินกระแสในช่วงสตาร์ทได้อีกด้วย        ตัวอย่างการต่อใช้งานอุปกรณ์ควบคุมปั๊มน้ำ (Pump Control) รุ่น CM-015-2-3-E ร่วมกับ Soft Start & Soft Stop Motor รุ่น PI-04N ในการควบคุมการทำงานของปั๊ม        การต่อใช้งาน Panel Pump Control รุ่น CM-015-2-3-E ร่วมกับ Soft Start & Soft Stop Motor รุ่น PI-04N (10 HP) ในการคอนโทรลปั๊มน้ำ แบบ Twin Pump ขนาด 10 HP โดยจะเริ่มจากการเช็คระดับน้ำของทั้งแทงก์บนและแทงก์ล่าง หากแทงก์บนที่ใช้งานมีระดับน้ำลดต่ำจนถึง Medium ตัว Pump Control ก็จะทำการสั่งให้ปั๊มน้ำสูบน้ำขึ้นแทงก์ 1 ปั๊ม และหากระดับน้ำต่ำจนถึงระดับ Low จะช่วยเสริมทำงานเป็น 2 ปั๊ม โดย Soft Start & Soft Stop Motor รุ่น PI-04N ช่วยในการออกตัวของปั๊มน้ำให้ออกตัวและหยุดแบบนิ่มนวล (Soft Start and Soft Stop) ทำให้มอเตอร์ไม่เกิดการกระชากและช่วยลดการกินกระแสในช่วงสตาร์ทได้อีกด้วย        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน   ตู้คอนโทรลปั๊มน้ำ Pump Controller Pump Controller Level Control For Conductive Liquids Level Switch Pressure Transmitters   โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
Process Monitor Software ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างไร?

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      ในโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักรเป็นหลักในการผลิตสินค้า โดยมีอุปกรณ์เครื่องมือวัดต่าง ๆ เป็นส่วนประกอบภายในเครื่องจักรหรือภายในตู้ไฟฟ้า ตู้คอนโทรล เช่น เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ (Temperature Sensor), เซ็นเซอร์วัดความชื้น (Humidity Sensor) ตลอดจนวัดค่าสัญญาณทางไฟฟ้า ฯลฯ ซึ่งอุปกรณ์เครื่องมือวัดเหล่านี้ จำเป็นต้องมีการควบคุมเพื่อให้ได้ค่าตามที่ผู้ใช้งานต้องการ โดยส่วนมากจะใช้อุปกรณ์หรือเครื่องควบคุมที่มี Output Relay เพื่อตัด-ต่อ (ON-OFF) การทำงานของอุปกรณ์ที่ต้องการควบคุม ในกรณีที่ถึงค่าที่ตั้งไว้ (Set Point) เช่น เครื่องควบคุมอุณหภูมิแบบดิจิตอล (Digital Temperature Controller), อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ (Thermostat), อุปกรณ์ควบคุมความชื้นและอุณหภูมิแบบดิจิตอล (Digital Hygrostat and Thermostat Controller) ภายในตู้ไฟฟ้า ตู้คอนโทรล เป็นต้น ซึ่งยังต้องใช้ผู้ปฏิบัติงานไปตรวจเช็คที่หน้างานในกรณีที่ต้องตั้งค่าอุปกรณ์หรือเครื่องจักรเกิดความขัดข้อง ซึ่งอาจจะตรวจสอบได้ไม่ครอบคลุมทั้งหมดภายในกระบวนการ ซึ่งปัจจุบันในอุตสาหกรรมได้มีการพัฒนาในรูปแบบของ Software เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลดังกล่าว โดยการ Monitor ผ่าน Computer ดังนี้        Process Monitor Software เป็นโปรแกรมบริหารจัดการด้านอุณหภูมิ (Temperature), ความชื้น (Humidity), สัญญาณทางไฟฟ้า (Analog 4-20mA, 0-10V) ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถบริหารและวางแผนการใช้ระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Process Monitor Software สามารถแสดงผลและบันทึกค่าสัญญาณทางไฟฟ้าหรือค่าอุณหภูมิและความชื้นได้ ดังนี้ Thermocouple, RTD (PT100), Current Analog (0-20mA, 4-20mA), Voltage Analog (0-75mV, 0-150mV, 0-1VDC, 0-5VDC, 0-10VDC, +/- 0-75mVDC, +- 0-150mVDC, +/- 0-1VDC, +/- 0-5VDC, +/- 0-10VDC) หรือค่าอื่น ๆ เป็นต้น (ดังรูปตัวอย่าง) รูปตัวอย่าง Process Monitor Software        Process Monitor Software เป็นโปรแกรม Software Web Server Monitoring System สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์บน TCP/IP, RS485, RS232 และ LoraWan ได้ โดยจะทำหน้าที่อ่านค่าตัวแปรที่ผู้ใช้ต้องการผ่านระบบสื่อสารและนำมาเก็บข้อมูลใน Database บนเครื่อง PC และนำข้อมูลไปแสดงผลยังหน้า Webpage โดย Protocol ที่ Process Monitor Software สามารถรองรับการใช้งานได้ ดังนี้      • MODBUS RTU Mode บนระบบ RS485      • MODBUS TCP      • LoRaWAN 1.0 โดยใช้งานร่วมกัน Femto Gateway Gemtek และอุปกรณ์ LoRa Node ของ บริษัท ไพรมัส จำกัด        จากข้อมูลข้างต้นดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านได้ทราบถึงคุณสมบัติเบื้องต้นเกี่ยวกับโปรแกรม Process Monitor Software หรือการใช้ซอฟต์แวร์ในการตรวจสอบภายในกระบวนการเพื่อการบริหารจัดการด้านอุณหภูมิ (Temperature), ความชื้น (Humidity), สัญญาณทางไฟฟ้า (Analog 4-20mA, 0-10V) เป็นต้น และเพื่อให้ผู้อ่านได้นำมาประยุกต์ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทางเราจึงขอนำเสนอหัวข้อ “ Process Monitor Software ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างไร?” โดยมีประโยชน์และข้อดี ดังนี้        ข้อดีของการใช้โปรแกรม Process Monitor Software      1. สามารถดูข้อมูลผ่าน Monitor ได้แบบ Real Time และได้รับการแจ้งเตือนที่รวดเร็วขึ้น      2. สามารถดูข้อมูลย้อนหลังด้วยกราฟ จากกลุ่ม Tag ที่ผู้ใช้งานสามารถกำหนดเองได้ และยังสามารถ Export ข้อมูลเป็น Excel      3. การลด Downtime      4. ลดต้นทุนในการ Wiring สาย      5. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน      6. เข้าถึงข้อมูลและปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำงานได้ทันทีจากการแจ้งเตือนผ่าน Line Notify        ตัวอย่างการใช้โปรแกรม Process Monitor Software ร่วมกับ Digital Indicator TIM-94N-A-M (RS-485) ในการ Monitor และบันทึกค่าอุณหภูมิและความชื่นภายในห้อง Clean Room        จากรูปตัวอย่าง เป็นการต่อใช้งานเพื่อดึงข้อมูลจาก Digital Indicator รุ่น TIM-94N-A-M จำนวน 32 ตัว มาเข้า Process Monitor Software เพื่อเก็บข้อมูล และ Monitor จะเห็นได้ว่า RM-012N-D เป็นอุปกรณ์ตัวแปลงสัญญาณ RS485ให้เป็นสายสัญญาณ Port USB เนื่องจาก Computer ไม่สามารถต่อสาย RS-485 ได้โดยตรง        ตัวอย่างการใช้โปรแกรม Process Monitor Software ร่วมกับ Load Cell Digital Indicator CM-013-M ในการ Monitor และบันทึกค่าน้ำหนัก        จากรูปตัวอย่าง เป็นการเชื่อมต่อระหว่าง Load Cell Indicator รุ่น CM-013-M และ Process Monitor Software แบบไร้สาย โดยใช้อุปกรณ์ตัวแปลงสัญญาณแบบสัญญาณ Wifi รุ่น RM-012-Wifi เพื่อดูค่าน้ำหนัก        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานโปรแกรม Process Monitor Software   บันทึกค่าอุณหภูมิและความชื้นห้อง Clean Room เช็คสถานะการทำงานของเครื่องฉีดพลาสติกและแจ้งเตือนเมื่อเกิดปัญหา Monitor ค่าสถานะแบบ Real Time และแจ้งเตือนเมื่อเกิดปัญหาผ่าน Line Digital Temperature Controller Digital Temperature Controller PID Control Function Digital Indicator,Universal Input Digital Indicator With Alarm Unit 4 Channel Digital Indicator Hour Conter   โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK  

Image Alternative text
หลักการทำงานของดิจิตอลไทม์เมอร์ (Digital Timer) และวิธีเลือก Function การใช้งาน

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      Timer (ไทม์เมอร์) หากเราพูดถึง Timer หลายท่านคงเข้าใจได้ว่า คือ อุปกรณ์ตั้งเวลาในควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามเงื่อนไขและเวลาที่ตั้งไว้  เช่น ควบควมการเปิด-ปิดไฟ หรือตั้งเวลาเปิดเครื่องปรับอากาศ, ตั้งหน่วงการทำงานของมอเตอร์ขนาดเล็ก, ตั้งหน่วงการทำงานของปั๊ม, ตั้งหน่วงการทำงานของพัดลมดูดอากาศ เป็นต้น อีกทั้ง Timer ตั้งเวลายังถูกนำมาใช้ในงานด้านอุตสาหกรรมและเป็นส่วนประกอบของเครื่องจักรในโรงงาน ในกรณีที่มีการใช้งาน Timer เพื่อตั้งเวลาตาม Function ต่าง ๆ ของ Timer แต่ละรุ่น โดยจะใช้ Timer มากกว่า 1 ตัว หรือจำนวนหลาย ๆ ตัว เพื่อควบคุมการทำงานเปิด-ปิด (ON-OFF) ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในเครื่องจักรหรือภายในตู้คอนโทรลซึ่งมีอุปกรณ์ในระบบหลายประเภท จึงมีเงื่อนไขในการตั้งเวลาที่แตกต่างกันเพื่อควบคุมการทำงานของอุปกรณ์แต่ละตัวในระบบการผลิต โดย Timer (ไทม์เมอร์) ที่ใช้งานทั่วไป มีดังนี้      Timer (ไทม์เมอร์) ที่ใช้งานโดยทั่วไปมีทั้งแบบดิจิตอล (Digital Timer), แบบอนาล็อก/แบบปรับหมุน (Analog Timer) ดังรูป Digital Timer Digital Timer (PT-03N) Timer Switch (SMW-Series)   Delay Slim Timer Star Delta Timer (PF-01) Delay On Operate Timer (PF-02) Multi-Function Timer (PF-03) 2 Channel Multi-Function Timer (PF-04)   Relay Timer Switch Recycle Timer Delay On Make Timer (PA-01) By Pass Timer (PA-02) Delay On Break Timer (PA-03) Universal Recycle Timer (PM-020) Recycle Timer With Pause (PM-025)      จากตัวอย่างไทม์เมอร์ (Timer) รูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจากบทความครั้งที่ผ่านมาเราได้มีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับไทม์เมอร์ (Timer) กันไปแล้วในหัวข้อเรื่อง “การเลือกใช้ Timer ในงานอุตสาหกรรมให้เหมาะสมกับการใช้งาน” โดยในวันนี้เราจะมาต่อเนื่องด้วยการพูดถึงหลักการทำงานและวิธีการต่อใช้งานไทม์เมอร์แบบดิจิตอล (Digital Timer) ซึ่งเป็น Timer ที่หน้าจอแสดงผลแบบตัวเลข 7-Segment (รุ่น PT-03N) และแสดงผลแบบ OLED (รุ่น SMW-Series) สามารถมองเห็นได้ชัดเจน โดยสามารถตั้งเปิด-ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ตามเวลาที่ต้องการได้ด้วยปุ่ม Keypad ในหัวข้อ "หลักการทำงานของดิจิตอลไทม์เมอร์ (Digital Timer) และวิธีเลือก Functionใช้งาน" โดยขอยกตัวอย่างไทม์เมอร์แบบดิจิตอล (Digital Timer) รุ่น PT-03N ยี่ห้อ Primus โดยเน้น Function การทำงานดังข้อมูลต่อไปนี้      กราฟแสดง 8 Function การทำงานของ Digital Timer ใช้ Timer 1 ในการทำงานสามารถกำหนดให้นับได้ทั้งแบบนับขึ้นหรือนับลงก็ได้ โดย Timer จะทำงานตาม Input และสามารถใช้ Timer 3 สำหรับการ Auto Reset ได้ ใช้ Timer 1 และ Timer 2 โดยจะทำงานอิสระจากกัน สามารถกำหนดให้นับได้ทั้งแบบนับขึ้นหรือลงก็ได้ โดย Timer ทั้งสองจะทำงานตาม Input และสามารถใช้ Timer 3 สำหรับ Auto Reset ได้ ใช้ Timer 1 ในการทำงานสามารถกำหนดให้นับได้ทั้งแบบนับขึ้นหรือลงก็ได้ ทั้งนี้ Timer จะทำงานตาม Input และสามารถใช้ Timer 3 สำหรับ Auto Reset ได้ ใช้ Timer 1 และ Timer 2 โดยจะทำงานอิสระจากกัน สามารถกำหนดให้นับได้ทั้งแบบนับขึ้นหรือลงก็ได้ Timer ทั้งสองจะทำงานตาม Input และสามารถใช้ Timer 3 สำหรับ Auto Reset ได้   ใช้ Timer 1 และ Timer 2 โดยจะทำงานสัมพันธ์กัน สามารถกำหนดให้นับได้ทั้งแบบนับขึ้นหรือลงก็ได้ Timer ทั้งสองจะทำงานตาม Input ใช้ Timer 1 และ Timer 2 โดยจะทำงานสัมพันธ์กัน สามารถกำหนดให้นับได้ทั้งแบบนับขึ้นหรือลงก็ได้ Timer ทั้งสองจะทำงานตาม Input ใช้ Timer 1 และ Timer 2 และ Timer 3 โดยจะทำงานสัมพันธ์กัน สามารถกำหนดให้นับได้ทั้งแบบนับขึ้นหรือลงก็ได้ Timer ทั้งสามจะทำงานตาม Input ใช้ Timer 1 และ Timer 2 และ Timer 3 โดยจะทำงานสัมพันธ์กัน สามารถกำหนดให้นับได้ทั้งแบบนับขึ้นหรือลงก็ได้ Timer ทั้งสามจะทำงานตาม Input      จากรูปตัวอย่างกราฟแสดง Function การทำงานของดิจิตอลไทม์เมอร์ (Digital Timer) ดังกล่าว ผู้อ่านสามารถเลือกวิธีการตั้งเวลาได้ถึง 8 Function และสามารถเลือกหน่วยเวลาเป็น mSec, Sec, Min และ Hour ได้จาก Keypad โดยการทำงานจะมีสวิตช์ควบคุมให้ Time Start (โดยต่อขั้ว 12 และ14) และในการรีเซ็ตค่าของ Timer สามารถทำได้โดยกดปุ่มรีเซ็ตจากด้านหน้าหรือต่อสวิตช์ควบคุมจากภายนอกได้ (โดยต่อขั้ว 12 และ 13) โดยขอยกตัวอย่างการต่อใช้งาน Digital Timer รุ่น PT-03N  ยี่ห้อ Primus เพื่อใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องจักรตามเวลาที่ผู้ใช้งานต้องการและวิธีการต่อสวิตช์ควบคุมจากภายนอก ดังนี้ รูปตัวอย่างการใช้ Function Digital Timer รุ่น PT-03N  ยี่ห้อ Primus เพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องจักร   ใช้สำหรับงานควบคุมเวลาการอบขนมได้ โดยสามารถกำหนดเวลาให้นับได้ทั้งแบบนับขึ้นหรือนับลงก็ได้ เมื่อครบเวลาแล้วจะสั่งให้เครื่องหยุดทำงานทันที โดยเลือกใช้ Function A   รูปตัวอย่างการใช้ Function Digital Timer รุ่น PT-03N  ยี่ห้อ Primus เพื่อควบคุมการทำงานของมอเตอร์ปั๊มน้ำ   ใช้สำหรับสลับของมอเตอร์ปั๊มน้ำ ใช้ Timer 1 เพื่อสั่งให้ Pump A ทำงาน, Timer 2 เพื่อสั่งให้ Pump B ทำงาน และ Timer 3 ป้องกันไม่ให้ Pump A กับ Pump B ทำงานพร้อมกัน โดยเลือกใช้ Funcgion G        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน Digital Timer (PT-03N) ควบคุมการสลับการทำงานของแอร์ห้องเซิร์ฟเวอร์ ควบคุมเวลาการทำงานของโหลด ควบคุมเวลาการทำงานฮีตเตอร์เครื่องบรรจุภัณฑ์ Timer Switch Star Delta Timer Digital Timer Switch Target Counter Hour Counter   โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
วิธีการเลือก Voltage Protection Relay (โวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์)

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      โวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์ (Voltage Protection Relay), เฟสโปรเทคชั่นรีเลย์ (Phase Protection Relay) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า รีเลย์ป้องกันไฟฟ้า เป็น Relay ประเภทหนึ่งที่ใช้สำหรับเช็คแรงดันไฟฟ้า (Voltage) หรือป้องกันความผิดปกติที่เกิดกับอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือระบบไฟฟ้า เพื่อสั่งปลดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกิดปัญหาออกจากระบบไฟฟ้าโดยเร็ว โดยมีเงื่อนไขในการป้องกันและตรวจเช็ค ดังนี้        • เช็คไฟตก-ไฟเกิน (Under-Over Voltage) แรงดันในขณะที่ใช้งานมีค่าเกินหรือต่ำกว่าที่กำหนด        • เช็คเฟสขาดหาย (Phase Loss) แรงดันของเฟสใดเฟสหนึ่งขาดหายไป        • เช็คเฟสไม่สมดุลย์ (Phase Unbalance) แรงดันไฟฟ้าของแต่ละเฟสที่ต่างกัน        • เช็คลำดับเฟส (Phase Sequence) แรงดันไฟฟ้าของแต่ละเฟสสลับกันหรือการเรียงลำดับเฟสไม่ถูกต้องของระบบไฟ 3 เฟส 3 สาย (3 Phase/3Wire) และ 3 เฟส 4 สาย (3 Phase/4Wire)        Voltage Protection Relay (โวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์) ที่นิยมใช้งานโดยทั่วไปมีทั้งแบบปรับหมุน (คำนวณหาเปอร์เซ็นของช่วงแรงดันไฟเกิน (Over Voltage) และช่วงแรงดันไฟตก) และแบบดิจิตอล (Digital Phase Protection Relay) ที่สามารถตั้งโปรแกรมกำหนดค่าแรงดันไฟฟ้าตามค่าจริงได้เลย โดยไม่ต้องคำนวณเปอร์เซ็นต์ของแรงดันไฟฟ้าในการตัด-ต่อ (ON-OFF)        รูปแบบต่าง ๆ ของ Voltage Protection Relay (โวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์)   1 Phase Over & Under Voltage Relay 3 Phase Under & Over Voltage and Phase Monitor Relay 3 Phase Over & Under & Phase Breaking Relay with Neutral Digital Phase Protection Relay Digital Voltage Protection Relay Digital Voltage Protection Relay PM-011 PM-017/PM-017N PM-019/PM-019N VPM-D VPM-05-D VPM-06-P3-4      จากตาราง รูปแบบของ Voltage Protection Relay (โวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์) ที่ใช้งานโดยทั่วไปในโรงงานอุตสาหกรรมมีมากมายหลายแบบ แล้วหากต้องการใช้งานควรจะเลือกใช้งานแบบปรับหมุนหรือแบบดิจิตอล แล้วแบบไหนดีกว่ากัน? ซึ่งเบื้องต้นเราได้มีการนำเสนอข้อมูลกันไปแล้วในหัวข้อ “Digital Phase Protection Relay เฟสโปรเทคชั่นรีเลย์แบบดิจิตอล ดีอย่างไร?” ซึ่งผู้อ่านสามารถเข้าไปศึกษาเพื่อทำความเข้าใจในการพิจารณาเลือกใช้ Phase Protection Relay ให้เหมาะสมกับหน้างานได้      โดยในวันนี้เราจะมาแนะนำผู้อ่านถึงวิธีในการเลือกใช้งาน Voltage Protection Relay หรือ Phase Protection Relay ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ในหัวข้อ “วิธีการเลือก Voltage Protection Relay (โวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์)” เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจและสามารถเลือกรุ่นใช้งานได้ตามความจำเป็นและความเหมาะสมกับหน้างาน โดยมีหัวข้อสำคัญในการเลือกดังนี้        หัวข้อสำคัญในการเลือก Voltage Protection Relay (โวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์)        • ใช้กับระบบไฟกี่เฟส? เช่น 1 เฟส, 3 เฟส (3 เฟส 3 สาย, 3 เฟส 4 สาย)        • ใช้กับแรงดันอินพุท AC หรือ DC        • ต้องการหน้าจอแสดงผลแรงดันด้วยไหม?         • ต้องการรุ่นที่ง่ายต่อการติดตั้ง การตั้งค่า และการต่อสาย (Easy operation)        • ต้องการความแม่นยำในการวัด (Accuracy)        • ต้องการป้องกันความผิดปกติที่เกิดกับอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือระบบไฟฟ้า? อาทิ ป้องกันไฟตก-ไฟเกิน (Under-Over Voltage), เฟสขาดหาย (Phase Loss), เฟสไม่สมดุลย์ (Phase Unbalance), สลับเฟส (Phase Sequence) เป็นต้น        • ต้องการ Voltage Protection Relay แบบดิจิตอล (ปรับตั้งค่าแบบเลือกแรงดันที่ต้องการ) หรือแบบอนาล็อก (ปรับตั้งค่าแรงดันแบบเปอร์เซ็นต์)        • ต้องการเอาท์พุทกี่เอาท์พุทเพื่อไปต่อร่วมในการตัดวงจร Magnetic Contactor, Shunt Trip สำหรับ Circuit Breaker, Undervoltage Trip สำหรับ Circuit Breaker จะมีให้เลือกทั้งแบบ 1 Output และแบบ 2 Output        • ต้องการ Function Delay Time สำหรับหน่วงเวลาการตัด-ต่อวงจรด้วยไหม?        • ต้องการดูค่าย้อนหลัง (Memory Alarm) ของการตัดวงจรครั้งล่าสุดด้วยไหม?        • ต้องการ Function Hold Alarm เพื่อให้ Output Relay Trip ค้างไว้จนกว่าจะทำการ Reset ด้วยไหม?        จากหัวข้อสำคัญในการเลือก Voltage Protection Relay (โวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์) ที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้เราจำแนกคุณสมบัติของ Voltage Protection Relay (โวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์) ซึ่งทำให้ผู้อ่านสามารถเลือกได้ง่ายขึ้น โดยขอยกตัวอย่าง Voltage Protection Relay หรือ Phase Protection Relay ยี่ห้อ Primus ดังตารางต่อไปนี้      จากตาราง ในการเลือก Voltage Protection Relay (โวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์) จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้งานใช้ประกอบในการพิจารณาเลือกรุ่นที่เหมาะสมกับหน้างานของท่านได้ โดยต่อวงจรการใช้งานดังตัวอย่างต่อไปนี้        ตัวอย่างการต่อใช้งาน Voltage Protection Relay (โวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์) รุ่น VPM-05-P3-4-D      จากรูปการต่อวงจรในการใช้งาน Voltage Protection Relay รุ่น VPM-05-P3-4 สำหรับป้องกันแรงดัน ไฟตก-ไฟเกิน (Under-Over Voltage), เฟสไม่สมดุลย์ (Phase Unbalance), สลับเฟส (Phase Sequence) ของตู้ MDB แล้วนำไปต่อร่วมกับ Shunt Trip ของ Circuit Breaker เพื่อสั่งการปลดวงจร กรณีที่ระบบไฟผิดปกติจากที่ตั้งค่าไว้ ทำให้โหลดหรือเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมไม่เกิดความเสียหายหากมีความผิดปกติของแรงดันไฟฟ้า        ตัวอย่างการต่อใช้งาน Voltage Protection Relay (โวล์ทเตจโปรเทคชั่นรีเลย์) รุ่น VPM-06-P3-4      จากรูปในการใช้งาน Voltage Protection Relay รุ่น VPM-06-P3-4 เป็น Protection Relay แบบ 2 Output Relay โดยแยกอิสระกันในการทำงาน และสามารถเลือกฟังก์ชันการป้องกันได้อย่างอิสระ เช่น ป้องกันแรงดันไฟตก (Under Voltage), แรงดันไฟเกิน (Over Voltage), เฟสไม่สมดุลย์ (Phase Unbalance), เฟสขาดหาย (Phase Loss), สลับเฟส (Phase Sequence) โดยจากรูปวงจรจะใช้ Output 1 ไปต่อร่วมกับหลอดไฟหน้าตู้เพื่อแสดงสถานะของแรงดันไฟตก (Under Voltage) และ Output 2 ไปต่อร่วมกับหลอดไฟหน้าตู้เพื่อแสดงสถานะของแรงดันไฟเกิน (Over Voltage) เพื่อได้เห็นค่าที่ผิดปกติได้ชัดเจน        จากข้อมูลที่ได้นำเสนอ วิธีการเลือก Voltage Protection Relay (โวลท์เตจโปรเทคชั่นรีเลย์) ข้างต้นนั้น ทางเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านผู้อ่านจะเกิดความเข้าใจและสามารถเลือกรุ่นการใช้งานได้ด้วยตัวเอง หากท่านผู้อ่านต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ทางเราก็มี Engineer คอยให้คำปรึกษาและบริการแก่ท่านด้วยความยินดี Digital Voltage Protection Relay Phase Protection Relay 3 Phase Under&Over Voltage And Phase Monitor Relay 3 Phase Over & Under & Phase Breaking Relay With Neutral 1 Phase Over & Under Voltage Relay โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
แนะนำการใช้ Snap-In I/O Modules กับ PLC Touch Screen

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      I/O Modules ย่อมาจาก Input/Output Modules คือ โมดูลของอินพุต (Input) และเอาต์พุต (Output) ที่มีอยู่ในตัวเดียวกัน ใช้สำหรับเพิ่ม Input และ Output (I/O) ให้กับ PLC (Programmable Logic Control) โดยมีความหลากหลายของชนิด Input/Output (I/O) เช่น Digital, Analog, Temperature, Hi-Speed I/O, Loadcell, Strian Gauge เป็นต้น ที่รวมอยู่ในตัวเดียว จึงทำให้ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งภายในตู้คอนโทรล โดยผู้ใช้งานสามารถเลือก Input/Output Modules ได้ตามต้องการ และสามารถต่อขยาย I/O Modules เพิ่มได้ จึงเหมาะสำหรับงานภาคอุตสาหกรรมที่มีการควบคุมอุปกรณ์เครื่องมือวัด เช่น เครื่องควบคุมอุหภูมิ (Temperature Controller), เซ็นเซอร์วัดแรงดัน (Pressure Transmitter), เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิและความชื้น (Humidity & Temperature Transmitter), เซ็นเซอร์ตรวจจับวัตถุ/ชิ้นงาน (Photoelectric Sensor), เซ็นเซอร์วัดน้ำหนัก (Load cell) ฯลฯ หรือควบคุม Robot ตลอดจนควบคุมการทำงานของเครื่องจักร (Auto Machine) ที่ครอบคลุมทั้ง Solution ในระบบ      ตัวอย่าง I/O Modules (Input/Output Modules)      I/O Modules สามารถต่อใช้งานร่วมกับ PLC+HMI ได้เกือบทุกรุ่น ยี่ห้อ Unitronics (ยกเว้น รุ่น Jazz) ทั้งรูปแบบปุ่มกด (Keypad) และแบบหน้าจอสัมผัส (Touch Screen) ซึ่งจากบทความที่ผ่านมาเราได้มีการนำเสนอเกี่ยวกับ PLC+HMI ในหัวข้อเรื่อง “การใช้ PLC Touch Screen ควบคุม Inverter” เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงคุณสมบัติและประโยชน์ของ PLC หน้าจอแบบ Touch Screen และการทำงานในรูปแบบการรับส่งข้อมูลใน Register ต่าง ๆ ของ PLC โดยแสดงในรูปแบบของกราฟิก, รูปภาพ, ค่าตัวเลข, ค่าตัวอักษร หรืออื่น ๆ บนหน้าจอ Touch Screen ซึ่ง Register เหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กับ Ladder Diagram ที่เราได้โปรแกรมเอาไว้ใน PLC แล้ว โดยในวันนี้เราจะมาแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ Snap-In I/O Modules ที่ใช้สำหรับเพิ่ม I/O ให้กับ PLC (Unitronics) รุ่น V200, V500, V1040 และ V1210 โดยสามารถต่อจากด้านหลังของ PLC ได้เลย ว่ามีรูปแบบการใช้งานและประโยชน์อย่างไร ในหัวข้อ “แนะนำการใช้ Snap-In I/O Modules กับ PLC Touch Screen” ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ตัวอย่าง Snap-In I/O Modules      Snap-In I/O Modules เป็นโมดูล (Modules) ที่ใช้สำหรับเพิ่ม Input/Output (I/O) ให้กับ PLC รุ่น V200, V500, V1040 และ V1210 โดยต่อจากด้านหลังของ PLC ได้เลย ซึ่งผู้ใช้สามารถติดตั้งด้วยตัวเอง โดยมีความหลากหลายของ Input/Output (I/O) เช่น Digital, Analog, Temperature, Hi-Speed I/O รวมไว้ในตัวเดียวทำให้ประหยัดพื้นที่ในตู้คอนโทรลได้เป็นอย่างมาก      ตัวอย่างรุ่น Snap-In I/O Modules ยี่ห้อ Unitronics      Snap-In I/O Modules ดังตัวอย่างข้างต้น เราขอยกตัวอย่างการติดตั้งของ PLC Touch Screen รุ่น V280 และวงจรการต่อใช้งาน รุ่น V570 ร่วมกับ Snap-In I/O Modules รุ่น V200-18-E3XB (ดังตาาราง) ตัวอย่างการติดตั้งและต่อใช้งานของ PLC Touch Screen รุ่น V280 ร่วมกับ Snap-In I/O Modules รุ่น V200-18-E3XB วงจรการต่อใช้งานของ PLC Touch Screen รุ่น V570 ร่วมกับ Snap-In I/O Modules รุ่น V200-18-E3XB      จากวงจรจะเห็นว่ามีไฟเลี้ยง Snap รุ่นนี้ 24 VDC ทั้งช่อง Digital และช่อง Analog โดยช่อง Analog จะต่อกับสัญญาณ Thermocouple จำนวน 2 ช่อง และสัญญาณ Analog 4-20 mA จำนวน 2 ช่อง ส่วนของ Digital Input จะรับสัญญาณจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ เป็นไฟ 24 VDC เนื่องจากมีการใช้ Wiring แบบ PNP และในส่วนของเอาต์พุตจะใช้เป็นหน้าคอนแท็ก Relay ต่อไปยัง Load ขนาด 24 VDC      Snap I/O Modules รุ่น V200-18-E3XB5 นับได้ว่าเป็นอีกรุ่นที่ยอดนิยม เพราะมีทั้ง Digital Input/Output, Analog Input/Output อีกทั้งยังสามารถใช้เป็น Input รูปแบบ Temperature Sensor RTD/PT100 และ Thermocouple ได้ด้วย โดยจะมี Digital Input ทั้งหมด 18 Input, Digital Output 15 Out Relay และ 2 Output แบบ NPN Transistor นอกจากนั้นทางด้าน Analog Input ยังสามารถรับสัญญาณแบบอิสระได้ถึง 4 ช่อง ประกอบไปด้วย Analog 0-10V, 4-20 mA, PT100, Thermocouple และยังมี Analog Output แบบอิสระได้ถึง 4 ช่อง ประกอบไปด้วย Analog 0-10V, 4-20 mA เป็นต้น      ประโยชน์ของการใช้ Snap-In I/O Modules      • ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งในตู้คอนโทรล      • ลดการ Wiring สาย ทำให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม      • มี Input และ Output ในตัวเดียวกัน และมีประเภท Input และ Output ให้เลือกหลากหลาย      • สะดวกในการซ่อมบำรุงและตรวจสอบ      ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน ระบบควบคุมห้องแรงดันลบ ชุดแสดงผลการทำงานของเครื่องยนต์ ชุดควบคุมแสดงผลของเครื่องจักรกองทัพเรือ Vision Programmable Logic Control Vision Programmable Logic Control Vision Programmable Logic Control Vision Programmable Logic Control Switching Power Supply 2.5A โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
เครื่องควบคุมปั๊มน้ำแบบ DIN Rail (Pump Relay) กับแบบ Panel (Digital Pump Controller) แตกต่างกันอย่างไร?

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      ปั๊มน้ำ (Water Pump) ที่มีการใช้งานกันในหอพัก, อะพาร์ตเมนต์, อาคารตึกสูง, คอนโดมิเนียมต่าง ๆ หรือในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยปั๊มน้ำ (Water Pump) จะทำหน้าที่ในการรับ-ส่งน้ำจากต้นทางไปยังปลายทางหรือสูบน้ำจากบ่อพักน้ำใต้ดินเข้าสู่ระบบในอาคารดังกล่าวโดยตรง เรียกว่า Transfer Pump และในกรณีที่มีการใช้น้ำมากเกินไปจะต้องมีใช้ปั๊ม 2 ตัว เพื่อช่วยกันทำงาน หากปั๊มตัวที่หนึ่งทำงานไม่ทันจะทำให้ระดับแรงดันตก (Under Voltage) หรือเรียกว่า Twin Pump โดยการควบคุมของเครื่องควบคุมปั๊มน้ำหรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) จะสั่งให้ปั๊มอีกตัวทำงาน ทำให้แรงดันและระดับน้ำในระบบคงที่ หรือเรียกว่า Booster Pump ซึ่งได้มีการพูดถึงกันไปแล้วในหัวข้อ “การควบคุมปั๊มน้ำ (Water Pump) แบบ Transfer Pump กับ Booster Pump ต่างกันอย่างไร?" และในวันนี้เราจะมาพูดถึงการควบคุมการทำงานของปั๊มน้ำ (Water Pump) โดยเครื่องควบคุมปั๊มน้ำหรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) โดยจะยกตัวอย่างรูปแบบในการติดตั้ง ในหัวข้อเปรียบเทียบเครื่องควบคุมปั๊มน้ำ (Pump Relay) ระหว่างแบบติดราง (DIN Rail) กับแบบติดหน้าตู้ (Panel Digital Pump Controller) โดยจะขอยกตัวอย่างของเครื่องควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว พร้อมจอแสดงผล (Twin Pump Controller) ทั้ง 3 รุ่น ดังนี้        เครื่องควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว พร้อมจอแสดงผล (Twin Pump Controller)   เครื่องควบคุมปั๊มน้ำ แบบ DIN Rail  (Pump Relay) เครื่องควบคุมปั๊มน้ำ แบบ Panel (Digital Pump Controller) Model : PM-021N-3 ยี่ห้อ Primus Model : CM-015-2 ยี่ห้อ Primus Model : CM-015-2-3-E ยี่ห้อ Primus        เครื่องควบคุมปั๊มน้ำหรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) เป็นอุปกรณ์ควบคุมปั๊มน้ำให้ทำงานสัมพันธ์กันระหว่างระดับของบ่อพักน้ำ (Water Well) และถังเก็บน้ำ (Water Tank) สามารถใช้ได้ทั้งระบบไฟ 1-Phase และ 3-Phase โดยมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของปั๊มน้ำ (Water Pump) ให้เป็นแบบอัตโนมัติ เช่น สั่งให้ปั๊มหยุดขณะปิดวาล์วหรือสั่งปั๊มหยุดการทำงานในขณะน้ำขาดหรือแรงดันต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ปั๊มน้ำเสียหายหรือปั๊มน้ำไหม้เกิดขึ้น ซึ่งเครื่องควบคุมปั๊มน้ำ (Pump Control) โดยทั่วไปจะใช้เซ็นเซอร์วัดระดับน้ำ (Level Sensor) ประเภทต่าง ๆในการติดตั้ง เช่น ติดตั้งโดยการใช้สวิตช์ลูกลอยตรวจจับระดับของเหลว (Level Switch), อุปกรณ์วัดระดับแบบก้านอีเล็คโทรด (Electrode Level Switch), สวิตช์ควบคุมแรงดัน (Pressure Switch) เป็นต้น        เครื่องควบคุมปั๊มน้ำหรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) จะทำหน้าที่ควบคุมปั๊มน้ำ (Water Pump) โดยแบ่งออกหลัก ๆ เป็น 3 ประเภทตามการใช้งาน        Booster Pump คือ การรักษาแรงดันภายในระบบให้มีความคงที่สม่ำเสมอ โดยอาศัยการทำงานของ Pressure Switch เป็นตัวตัดต่อการทำงานระบบ Booster pump ที่นิยมกันจะเป็นแบบทำงานสลับ และเสริมช่วยอีกตัวเพื่อใช้ปรับตั้งแรงดันตามความต้องการ ประกอบด้วยปั๊มน้ำจำนวน 2 ตัว สลับการทำงานและเสริมช่วยการทำงาน        Transfer Pump คือ รับ-ส่งน้ำจากต้นทางไปยังปลายทาง หรือจากบ่อด้านล่างส่งไปบ่อด้านบน นิยมใช้กันมากในอะพาร์ตเมนต์ แมนชั่น หรืออาคารตึกสูง คอนโดฯ ประกอบด้วยปั๊มน้ำจำนวน 2 ตัว สลับการทำงานและเสริมช่วยการทำงาน ในกรณีที่มีการใช้น้ำมากเกินไปจะต้องมีปั๊มอีกตัวเพื่อช่วยกันทำงานหากปั๊มตัวที่หนึ่งทำงานไม่ทัน        Drain Water Pump คือ เป็นการทำงานโดยจะวัดระดับน้ำเสียในบ่อเก็บโดยส่วนใหญ่จะใช้ลูกลอยแบบสายไฟ เนื่องจากน้ำมีความสกปรกมาก ไม่เหมาะกับก้านอิเล็กโทรด เช่น ในภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะมีสิ่งปฏิกูลหรือน้ำเสียเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตซึ่งจะต้องใช้ตัวปั๊มในการดูดน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วทิ้งออกไป        โดย Pump Control แต่ละรุ่นก็มีข้อแตกต่างกัน แล้วผู้ใช้งานจะเลือกรุ่นไหนเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน ดังนั้นทางเราขอแนะนำเครื่องควบคุมปั๊มน้ำหรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) แบบติดราง (DIN Rail) และแบบติดหน้าตู้ (Panel Digital Pump Controller) โดยมีข้อเปรียบเทียบดังตารางต่อไปนี้   คุณสมบัติ เครื่องควบคุมปั๊มน้ำ (Pump Relay) แบบ DIN Rail (Twin Pump) ยี่ห้อ Primus เครื่องควบคุมปั๊มน้ำ (Pump Relay) แบบ Panel (Digital Pump Controller) (Twin Pump) ยี่ห้อ Primus Model : PM-021N-3 Model : CM-015-2 Model : CM-015-2-3-E การติดตั้ง (DIN Rail) (Panel) (Panel) เครื่องควบคุมการทํางานของปั๊มน้ำ 2 ตัว (Twin Pump) Yes Yes Yes ใช้กับระบบไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส Yes Yes 3 เฟส เท่านั้น การแสดงผลแบบหน้าจอ LCD No Yes Yes ใช้กับ Level Sensor ประเภท Electrode/Float Cable Switch/Pressure Switch Yes Yes Yes Function การทํางานแบบ Water Supply (Charging) และ Drainage (Discharging) Yes Yes Yes แสดงค่า Volt (V) และ Current (A) No Yes Yes Function Under & Over Voltage Yes Yes Yes Function Phase Sequence (For 3-Phase) Yes Yes Yes Function Phase Loss (For 3-Phase) Yes Yes Yes Function Hour Counter สําหรับวัดชั่วโมงการทํางานของปั๊มและแจ้งเตือนเพื่อทําการบํารุงรักษา No Yes Yes Function Dry Run Protection ป้องกันปั๊มเดินตัวเปล่าโดยไม่มีน้ำ No Yes Yes Function Current Relay Output ตัดการทํางานของปั๊มเมื่อกระแสเกิน No Yes Yes Latching Function สําหรับสลับการทํางานของปั๊ม 2 ตัว Yes Yes Yes Booster Function สําหรับสั่งปั๊ม 2 ตัวทํางานพร้อมกันในกรณีที่ระดับน้ำลดลงมาก Yes Yes Yes Alarm Relay Output สําหรับ Overflow, Hour, Voltage, Current and Dry Run No Yes Yes Alarm Relay Output สำหรับ Overflow, Low แทงค์บน และ Overflow แทงค์ล่าง (อิสระ) No No Yes Alarm Lock ย้อนหลัง No Yes Yes Event Lock ย้อนหลัง No Yes Yes Lock Function ป้องกันไม่ให้เปลี่ยน Setting No Yes Yes Memory สําหรับจําการทํางานของปั๊มก่อนไฟดับ Yes Yes Yes Communication RS-485 No Yes No      จากข้อมูลในตารางหวังว่าจะช่วยให้ผู้ใช้งานได้พิจารณาเลือกรุ่นสำหรับการติดตั้งและการใช้งานได้อย่างเหมาะสมแล้ว  และโดยทั่วไปเรามักจะพบเห็นตู้คอนโทรลปั๊มที่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์หลาย ๆ ตัว ภายในตู้คอนโทรล อาทิ มิเตอร์วัดแรงดัน (Voltmeter), มิเตอร์วัดกระแส (Ampmeter), มิเตอร์วัดชั่วโมงการทำงาน (Hour Counter), อุปกรณ์เช็คกระแสเกิน (Current Protection Relay), อุปกรณ์ป้องกันไฟตก-ไฟเกิน (Voltage Protection Relay), อุปกรณ์ป้องกันปั๊มน้ำเดินตัวเปล่า (Dry Run Protection Relay), อุปกรณ์ควบคุมระดับน้ำ (Level Control) เป็นต้น ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานต้องสิ้นเปลืองพื้นที่ในการติดตั้งภายในตู้คอนโทรล อีกทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายและเวลาในการจัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ Function ครบถ้วนตามที่ต้องการ ดังนั้นทางเราขอแนะนำเครื่องควบคุมปั๊มน้ำหรือปั๊มคอนโทรล (Pump Control) แบบ DIN Rail (Pump Relay) และแบบ Panel (Digital Pump Controller) ที่มี Function ในการทำงานต่าง ๆ ครบถ้วนภายในตัว        ตัวอย่างการติดตั้งและการต่อใช้งานเครื่องควบคุมปั๊มน้ำแบบ DIN Rail (Pump Relay)   การติดตั้งเครื่องควบคุมปั๊มน้ำ แบบ DIN Rail (Pump Relay) การต่อใช้งานเครื่องควบคุมปั๊มน้ำ แบบ DIN Rail (Pump Relay)              การติดตั้งเครื่องควบคุมปั๊มน้ำ แบบ Panel (Digital Pump Controller) รูปตู้คอนโทรลควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว พร้อมจอแสดงผล (Twin Pump Controller) รุ่น CM-015-Series        การต่อใช้งานเครื่องควบคุมปั๊มน้ำ แบบ Panel (Digital Pump Controller) รูปการต่อสายและแสดงผลของเครื่องควบคุมปั๊มน้ำ Panel (Digital Pump Controller)        ข้อดีของการใช้งานเครื่องควบคุมปั๊มน้ำ แบบ DIN Rail (Pump Relay) และแบบ Panel (Digital Pump Controller) ดังตัวอย่าง Model : PM-021N และ CM-015 สรุปได้ดังนี้      • ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง      • การ Wiring สายไม่ยุ่งยาก และตรวจสอบหรือซ่อมบำรุงได้ง่าย      • มี Function ในตัวเดียวกันหลากหลาย โดยไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์อื่นเพิ่ม      • ประหยัดงบประมาณ      • สามารถทราบระดับน้ำภายในบ่อพักน้ำ (Water Well) และถังเก็บน้ำสำหรับใช้งาน (Water Tank) ขณะทำงานได้      • สามารถมองเห็นสถานะการทำงานของ Pump แต่ละตัวได้      • สามารถมองเห็นสถานะความผิดปกติของระดับน้ำ, Sensor, Voltage Protection      • ในกรณีที่ปั๊มตัวใดตัวนึงมีปัญหา เราสามารถ OFF เพื่อทำการตัดระบบได้        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน   ตัวอย่างการต่อใช้งาน Twin Pump Controller รุ่น CM-015-2-3-E ในโรงงาน โดยมีคอนเซ็ปงานต้องการควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว ในการเติมน้ำในแทงก์   ตัวอย่างการต่อใช้งาน Twin Pump Controller รุ่น CM-015-2-1 ที่ใช้สำหรับโครงการบ้านจัดสรร ในการสูบน้ำออกจากบ่อพักน้ำ เพื่อควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว เนื่องจากปั๊มเพียง 1 ตัวสูบออกไม่ทัน ตัวอย่างการต่อใช้งาน Twin Pump Controller รุ่น PM-021N-3 ที่ใช้สำหรับควบคุมปั๊มน้ำ 2 ตัว ในการเติมน้ำในแทงก์   Level Control  Level Switch Electrode Holder Cable Float Switch  Electronics Overload Relay โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
แนะนำการต่อใช้งานและการติดตั้ง สวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) ของแต่ละรุ่น

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      สวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) เป็นแหล่งจ่ายไฟตรงที่คงค่าแรงดันแบบหนึ่ง โดยมีหลักการทำงาน คือ สามารถเปลี่ยนแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ที่มีแรงดันสูง (High Voltage) แปลงเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ให้มีแรงดันต่ำ (Low Voltage) หรือเป็นการลดทอนแรงดันสูงให้เป็นแรงดันต่ำนั่นเอง เช่น จากแรงดันไฟฟ้าทางด้านอินพุต (Input) 220Vac แปลงเป็นแรงดันไฟฟ้าทางด้านเอาต์พุต (Output) ที่มีแรงดันต่ำ 5Vdc, 12Vdc, 24Vdc เป็นต้น        ในปัจจุบันได้มีการนำสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) มาใช้งานกันอย่างแพร่หลายในงานอิเล็กทรอนิกส์และเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยมีส่วนที่สำคัญด้วยกัน 3 ส่วนใหญ่ ๆ ดังนี้ รูปแสดงวงจรเบื้องต้นของสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply)        จากบทความที่เราได้มีการนำเสนอกันไปแล้วในหัวข้อ “สิ่งที่ควรรู้ก่อนเลือกซื้อสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply)”  ซึ่งได้กล่าวถึงหลักการทำงานและสิ่งที่ควรรู้ก่อนเลือกซื้อสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) ทำให้ผู้อ่านสามารถพิจารณาเลือกใช้งาน Switching Power Supply ได้อย่างเหมาะสม และในวันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการต่อใช้งานและการติดตั้งสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) ในหัวข้อ "แนะนำการต่อใช้งานและการติดตั้ง สวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) ของแต่ละรุ่น"        ก่อนอื่นเราขอแนะนำสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) แต่ละรุ่น ของยี่ห้อ PM กันก่อนว่ามีรุ่นอะไรบ้าง? โดยทั้งหมดมี 4 รุ่น ดังนี้   Switching Power Supply 220VAC to 24VDC (1.2A ) / 30W Switching Power Supply 220VAC to 24VDC (2.5A) / 70W Switching Power Supply 220VAC to 24VDC (5A) / 120W Switching Power Supply 220VAC to 12VDC (10A) / 120W Model : PM-024S-1.2 Model : PM-024S-2.5 Model : PM-024S-5 Model : PM-012S-10      บ่อยครั้งที่ผู้ใช้งานมักจะพบปัญหาไฟรั่วลงบนตัวอุปกรณ์สวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) หรือพบอาการเสีย ซึ่งอาการดังกล่าวอาจเกิดจากผู้ใช้งานทำการติดตั้ง และ Wiring สายไม่ถูกวิธีก็เป็นได้ ดังนั้นหากเรารู้วิธีการติดตั้ง Switching Power Supply ที่ถูกต้อง จะทำให้อุปกรณ์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและเป็นการป้องกันการเสียหายของตัวอุปกรณ์อีกด้วย โดยในการต่อสาย (Wiring) ของตัว Switching Power Supply หากเราต่อสายไฟเข้ากับตัวอุปกรณ์ผิดพลาดแล้ว อาจทำให้อุปกรณ์นั้นเสียหายหรือเกิดการระเบิดได้ ดังนั้นวิธีการติดตั้ง (Installation) และการต่อสาย (Wiring) ที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร? อธิบายได้ดังนี้        การติดตั้ง Switching Power Supply สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ DIN RAIL และ Front Mounting ดังนี้        • การติดตั้ง Switching Power Supply แบบ DIN RAIL   การติดตั้ง Switching Power Supply Model : PM-024S-2.5 เข้ากับ DIN RAIL (ด้านข้าง) การติดตั้ง Switching Power Supply Model : PM-024S-2.5 เข้ากับ DIN RAIL (ด้านหน้า)      การติดตั้งสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) เข้ากับรางปีกนก หรือ ราง DIN RAIL หรือการเคลื่อนย้ายออกจากรางปีกนก หรือ ราง DIN RAIL นั้น ผู้ใช้ควรใช้เครื่องมือที่ถูกต้องในการติดตั้งหรือเคลื่อนย้าย เช่น ไขควง เป็นต้น และปฏิบัติอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์นั้นเกิดความเสียหาย   รูปแสดงการติดตั้ง Switching Power Supply แบบ DIN RAIL จำนวน 2 ตัว      กรณีที่ผู้ใช้งานทำการติดตั้งสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) จำนวน 2 ตัวขึ้นไป ควรเว้นระยะห่างระหว่างตัวสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) อย่างน้อย 20 mm. และควรมีช่องว่างให้อากาศได้ถ่ายเทที่ด้านบนหรือด้านล่างอย่างน้อย 75 mm. เพื่อให้มีบริเวณที่ไว้ระบายความร้อนจากตัว Switching Power Supply          • การติดตั้ง Switching Power Supply แบบ Front Mounting สามารถติดตั้งได้หลายวิธี   ติดตั้งโดยใช้ Screws ติดตั้งโดยใช้อุปกรณ์เสริม        การต่อสาย (Wiring) สวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply)      การต่อสาย (Wiring) เข้ากับขั้วต่อไฟ (Terminal) ของสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) เป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ใช้จะต้องคำนึงในเรื่องของความถูกต้อง หากมีการต่อผิดพลาดอาจทำให้สวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) เกิดความเสียหายหรือใช้งานไม่มีประสิธิภาพได้ โดยแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อของสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) ลักษณะการต่อใช้งานไม่เหมือนกัน โดยเราจะขอยกตัวอย่างการต่อใช้งานสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) รุ่น PM-024S Series Brand Primus ดังนี้   Model : PM-024S-1.2 (ยี่ห้อ Primus) ตัวอย่างการต่อใช้งาน Switching Power Supply ร่วมกับ PLC     Model : PM-024S-2.5 (ยี่ห้อ Primus) ตัวอย่างการต่อใช้งาน Switching Power Supply ร่วมกับ Humidity Transmitter และ Digital Indicator   Model : PM-024S-5 (ยี่ห้อ Primus) ตัวอย่างการต่อใช้งาน Switching Power Supply ร่วมกับ Digital Indicator และ Ultrasonic Level Sensor   Model : PM-012-10 (ยี่ห้อ Primus) ตัวอย่างการต่อใช้งาน Switching Power Supply ร่วมกับ Temperature Controller และ Solid State Relay        ข้อแนะนำเกี่ยวกับสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply)      • สวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) ที่มีจำหน่ายในปัจจุบันจะมาพร้อมกับ Function ต่างๆ เพื่อยืดอายุการใช้งานสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) ให้ยาวนานขึ้น อาทิ ระบบป้องกัน Short Circuit, Overload, Over Temperature Protection, ช่อง Air Flow สำหรับระบายความร้อน, ระบบ SELV (Safety Extra Low Voltage), PELV (Protective Extra Low Voltage) เป็นต้น      • มีระบบ Adjust ค่าแรงดัน เพื่อปรับค่าชดเชยแรงดันไฟฟ้า Vdc สามารถปรับ Adjust เพิ่มหรือลดค่าแรงดันไฟฟ้า Vdc ได้      • มีขั้วต่อไฟ Ground ด้านแรงดันอินพุต กรณีเกิดไฟรั่วสามารถให้กระแสไหลลงผ่านอุปกรณ์ไปยัง Ground และลงดินได้        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply)   ตู้คอนโทรลใช้งานร่วมกัน Photo Sensors / Relay Module / Timer ตู้คอนโทรลใช้งานร่วมกัน Photo Sensors / Relay Module / PLC ตู้คอนโทรลใช้งานร่วมกัน PLC / Relay Module Signal Tower Light 40 mm. Signal Tower Light 80 mm. Rotation Warning  Light Relay Module Digital Indicator โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
ควบคุมอุณหภูมิตู้แช่ด้วย Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      การทำความเย็น (Refrigeration) คือ กระบวนการถ่ายเทความร้อนออกจากพื้นที่หรือวัตถุที่ต้องการทำความเย็น หรือเป็นกระบวนการลดและรักษาอุณหภูมิของพื้นที่หรือวัตถุที่ต้องการทำความเย็นให้ต่ำหรืออุณหภูมิติดลบกว่าอุณหภูมิรอบ ๆ ในปัจจุบันเราอาศัยระบบทำความเย็น (Refrigerator System) มาประยุกต์ใช้ในงานอุตสาหกรรม ได้แก่ การผลิตอาหาร การเก็บรักษาอาหาร การแช่แข็ง การทำความเย็นในตู้แช่  ห้องเย็น โรงน้ำแข็ง เป็นต้น ซึ่งในการควบคุมอุณหภูมิของระบบทำความเย็น (Refrigerator System) ในงานอุตสาหกรรม เราขอยกตัวอย่างการนำเอาเครื่องควบคุมอุณหภูมิขนาดเล็ก (Mini Temperature Controller) เพื่อใช้สำหรับควบคุมการเพิ่มหรือลดของอุณหภูมิให้ได้ตามค่าที่ตั้งไว้ (Setpoint) ในกระบวนการ ซึ่งเราได้มีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกใช้งาน Temperature Controller เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละประเภท ในหัวข้อ การเลือกใช้ Temperature Controller และ Defrost Controller อย่างไรให้เหมาะสมกับงาน กันไปแล้ว เพื่อให้ผู้ใช้งานได้พิจารณาเลือกใช้ Temp Control ได้ตามความเหมาะสมกับหน้างาน        โดยในวันนี้เราจะขอนำเสนอเครื่องควบคุมอุณหภูมิ (Temperature Controller) ที่มีฟังก์ชันการละลายน้ำแข็งสำหรับงานตู้แช่  ตู้แช่อาหาร เครื่องแช่ ห้องเย็น เป็นต้น หรือที่เรียกว่า Refrigerator Controller, Defrost Controller ในหัวข้อ "ควบคุมอุณหภูมิตู้แช่ด้วย Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller" ที่เน้นในเรื่องของการควบคุมอุณหภูมิด้านความเย็นเพื่อควบคุมปริมาณน้ำแข็ง เพราะการผลิตหรือเก็บรักษาอาหารหรือผลผลิตทางการเกษตรบางประเภทจะควบคุมให้มีความชื้นในอากาศสูง เพื่อรักษาให้อาหารหรือผักผลไม้มีความสด ไม่เหี่ยวเฉา ทำให้เกิดน้ำแข็งจำนวนมากที่ผิวคอยล์เย็น   Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller รุ่น DEF-01-F3 หน้าจอการแสดงผลของ Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller รุ่น DEF-01-F3        Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller เป็นเครื่องควบคุมอุณหภูมิสำหรับตู้แช่และระบบทำความเย็นที่มีฟังก์ชันการละลายน้ำแข็ง (Defrost) โดยเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิที่ใช้ในตัวควบคุมประเภทนี้จะเป็น Thermister ชนิด  NTC หรือ PTC ซึ่งสามารถวัดอุณหภูมิในย่านติดลบได้ดี (-40 ถึง 130 ํC) โดยควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์ (Compressor) เพื่อใช้ในการเพิ่มความดันให้กับน้ำยาหรือสารทำความเย็น อาทิ ตู้แช่เย็น, ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้น, ระบบควบคุมความดัน พัดลม รวมถึงระบบทำความเย็นสำหรับอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยในรุ่น DEF-01-Series มีระบบป้องกันแรงดันไฟตก-ไฟเกิน (Under-Over Voltage Protection) ในตัว เพื่อป้องกันคอมเพรสเซอร์ (Compressor) เสียหายและช่วยลดการ Wiring สายไฟอีกด้วย        ตัวอย่างการต่อใช้งาน Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller รุ่น DEF-01-F3 (Mini Digital Refrigeration Temperature Controller)      จากรูป ตัวอย่างการต่อใช้งาน Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller รุ่น DEF-01-F3 ในการควบคุมอุณหภูมิตู้แช่ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องประกอบด้วย เครื่องควบคุมอุณหภูมิ Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller ทำหน้าที่รับอินพุตจาก Thermistor NTC, PTC โดยการควบคุมของ Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller รุ่น DEF-01-Series สามารถควบคุมได้ทั้งระบบความร้อนและระบบทำความเย็น คือ      • การควบคุมแบบระบบความเย็น คือ Output จะทำงานเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าค่า Setpoint      • การควบคุมแบบระบบความร้อน คือ Output จะทำงานเมื่ออุณหภูมิสูงกว่าค่า Setpoint        กล่าวคือ การทำงานของ Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller รุ่น DEF-01-Series จะทำการวัดอุณหภูมิเพื่อควบคุมการทำงานของ COMP. Relay เพื่อสั่งให้คอมเพรสเซอร์ (Compressor) ทำงานจนอุณหภูมิลดลงถึงค่า Setpoint ที่ตั้งไว้ และจะกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่ออุณหภูมิสูงกว่าหรือเท่ากับค่า Setpoint + Hysteresis หากตั้งการทำงานเป็น Heating จะทำให้ COMP. Relay ทำงานตรงกันข้าม เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดค่าหน่วงเวลาการทำงานของคอมเพรสเซอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้คอมเพรสเซอร์ทำงานบ่อยและหนักมากเกินไปเพราะจะทำให้ Compressor เสียหายได้        Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller รุ่น DEF-01-Series มี Function Alarm เป็นแบบ Deviation Alarm (ค่าที่ตั้งเปลี่ยนแปลงตาม Setpoint) และแบบ Absolute Alarm (ค่าที่ตั้งไม่เกี่ยวข้องกับ Setpoint) สามารถแจ้งเตือนอุณหภูมิได้ถึง 8 Function ดังนี้ 8 Function ฟังก์ชันการทํางานของ Alarm        ระบบการละลายน้ำแข็ง (Defrost) สามารถสั่งงานได้จากปุ่มกด Digital Input หรือตามช่วงเวลาที่กำหนด และสามารถเลือกใช้การละลายน้ำแข็งได้ทั้งแบบ Electrical Heater หรือ Hot Gas (ดังตาราง)      Digital Input สามารถตั้งให้รับอินพุตเพื่อใช้ทำหน้าที่ต่าง ๆ เช่น แสดงสัญญาณเตือนเริ่มการทำงานของระบบละลายน้ำแข็ง สวิตช์แรงดันหรือสวิตช์เปิด-ปิดประตู หรือม่าน เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถตั้งหน่วงเวลาก่อนการแจ้งเตือนได้อีกด้วย      Voltage Protection เป็น Function  Over-Under Voltage Protection เพื่อเช็คแรงดันไฟฟ้าที่จ่ายให้กับระบบ โดยหากมีแรงดันไฟฟ้าที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าค่าที่ตั้งไว้ Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller รุ่น DEF-01-Series จะหยุดการทำงานทั้งหมดหลังจากเวลาที่ตั้งไว้ เพื่อป้องกันคอมเพรสเซอร์หรือระบบทำความเย็นเสียหาย        Option เสริม ใช้ร่วมกับ Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller : Dongle Module ใช้ทำหน้าที่เพิ่มเติม ดังนี้   Dongle Module 1 ใช้สำหรับเก็บข้อมูลในการตั้ง Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller โดยจะทำการคัดลอกค่า Setting Program, Setpoint และ Function ให้เหมือนกันทุกตัวตาม Master   Dongle Module 2 ใช้สำหรับต่อ RS-485 Module เพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์ Dongle Module 3 ใช้สำหรับต่อ Terminal เพิ่มเติมสำหรับ Probe 4      ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน Refrigerator Controller หรือ Defrost Controller ตู้แช่แข็ง ตู้แช่แข็งตู้แช่อาหารสแตนเลส (แช่เย็น-แช่แข็ง) ตู้แช่เครื่องดื่ม NTC/PTC Temperature Coefficient  Mini Process Controller NTC & PTC Digital Temperature Controller Mini Temperature Controller (Thermocouple&PT100 Input) Digital Temperature Controller PID Control Function โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
4 สิ่งสำคัญในการเลือกซื้อมัลติมิเตอร์ (Multimeter, Power Meter)

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      พาวเวอร์มิเตอร์ (Power Meter) หรือ มัลติมิเตอร์ (Multifunction Power Meter) เป็นมิเตอร์ที่วัดและวิเคราะห์และแสดงผลค่าพลังงานต่าง ๆ ทางไฟฟ้าของหน่วยที่วัดได้ในขณะนั้น เช่น V (Line), V (Phase),  A (Phase), kW, kvar, kVA, kWh, kvarh, kVAh, PF, Hz, kW Demand, Peak Demand,  THD (Harmonic) เป็นต้น ซึ่งปัจจุบัน Power Meter บางรุ่นก็ได้มีการพัฒนาให้สามารถกําหนดช่วงเวลาในการเก็บค่าพลังงานไฟฟ้า (Tariff) ได้ 12 ช่วงเวลา และเก็บ Log File ของค่า Tariff ได้ 12 เดือน และยังสามารถวัดและตรวจเช็คค่าทางไฟฟ้าได้ เช่น Sag Swell, Over Voltage, Under Voltage, Over Current, Under Current, Phase Sequence, Phase Loss, Phase Unbalance, THD และ HD 0-63 Order และบันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวได้ 50 ค่า สำหรับระบบไฟฟ้าแบบ 1 เฟส และ 3 เฟส ได้อีกด้วย (ในรุ่น KM-07N-1)        ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับมิเตอร์ (Meter) กันก่อน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมิเตอร์ (Meter) จะมีในรูปแบบการแสดงผลหลัก ๆ ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ การแสดงผลแบบเข็ม (Analog Meter) และการแสดงผลแบบดิจิตอล (Digital Meter) ดังรูป   มิเตอร์แบบเข็ม (Analog Meter) มิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Meter) มิเตอร์แบบเข็ม หรือ อนาล็อกมิเตอร์ (Analog Meter) ใช้วิธีการอ่านค่าในรูปแบบเข็ม มีสเกลของมิเตอร์เพื่อใช้ในการอ่านค่า หลักการทำงานของมิเตอร์แบบเข็ม (Analog Meter) จะใช้หลักการของ Moving Coil โดยการไหลของกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดเคลื่อนที่ (Moving Coil) ซึ่งเข็มของมิเตอร์จะเปลี่ยนแปลงมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณกระแสที่ไหลผ่านขดลวด ซึ่งในการอ่านค่าของมิเตอร์แบบเข็ม (Analog Meter) อาจเกิดความผิดพลาดได้ มิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Meter) ใช้วิธีการอ่านค่าในรูปแบบดิจิตอล โดยจะอาศัยหลักการของการเปลี่ยนแปลงสัญญาณอนาล็อก (Analog Signal) ที่เข้ามาให้เป็นสัญญาณดิจิตอล โดยผ่านตัว A/D Converter แล้วทำการแสดงผลผ่านตัวเลขในรูปแบบ LCD 7-Segment ซึ่งมีความแม่นยำของข้อมูลมากกว่ามิเตอร์แบบเข็ม (Analog Meter)      จากข้อมูลตารางข้างต้นทำให้ผู้อ่านได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง มิเตอร์แบบเข็ม (Analog Meter) กับ มิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Meter) ทั้งหลักการและรูปแบบในการอ่านค่าทางไฟฟ้าคร่าว ๆ กันไปแล้ว ซึ่งพาวเวอร์มิเตอร์ (Power Meter) หรือ มัลติมิเตอร์ (Multifunction Power Meter) ก็มีมากมายหลากหลายแบบในท้องตลาด โดยแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ ก็มีความแตกต่างกันออกไป แล้วเราจะมีวิธีการเลือกใช้งานแบบไหนที่ตรงกับหน้างานและสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อการวางแผนการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเราได้มีการนำเสนอกันไปบ้างแล้วในบทความหัวข้อ มัลติมิเตอร์วัดและวิเคราะห์พลังงานทางไฟฟ้า และ SCADA SOFTWARE ระบบควบคุมในงานอุตสาหกรรม โดยในวันนี้นี้เราจะมาแนะนำข้อมูลสำหรับการพิจารณาเลือกซื้อ Multifunction Power Meter ในหัวข้อ 4 สิ่งสำคัญในการเลือกซื้อมัลติมิเตอร์ (Multimeter, Power Meter) ดังนี้      1. ความละเอียด/ความเที่ยงตรง (Accuracy) ที่ต้องการใช้งาน   ตัวอย่างความละเอียด/ความเที่ยงตรง (Accuracy) ของมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Meter) รุ่น KM-07N-1 ตัวอย่างความละเอียด/ความเที่ยงตรง (Accuracy) ของมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Mete) รุ่น KM-24-L                ความเที่ยงตรงในการวัดค่าทางไฟฟ้าต่าง ๆ เป็นสิ่งที่จำเป็น โดยมิเตอร์แต่ละรุ่นจะมีความเที่ยงตรงที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับสเปคของอุปกรณ์นั้น ๆ ถ้าเราต้องการนำค่าทางไฟฟ้าต่าง ๆ ไปใช้งานเช่น นำไปใช้ในการเก็บค่าพลังงานไฟฟ้าและคิดเงินเป็นบิลค่าไฟเพื่อเปรียบเทียบกับบิลการไฟฟ้าที่เราจ่ายทุกเดือน หรือใช้ในการเก็บเงินรายเดือนของหอพักและอะพาร์ตเมนต์ ซึ่งจำเป็นต้องมีความเที่ยงตรงและแม่นยำในการวัด และมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับแก่ผู้ใช้งาน      2. ค่าที่ผู้ใช้ต้องการวัดเพื่อเลือกมิเตอร์ให้เหมาะสม   ตัวอย่างค่าที่วัดได้ของมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Meter) รุ่น KM-07N-1 ตัวอย่างค่าที่วัดได้ของมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Meter) รุ่น KM-24-L              โดยทั่วไปการพิจารณาเลือกมิเตอร์ว่าสามารถวัดค่าอะไรได้บ้าง? ผู้ใช้สามารถพิจารณาจากตารางข้อมูลทางเทคนิคหรือคุณสมบัติจาก Data Sheet หรือพิจารณาจากหน้า Display ของพาวเวอร์มิเตอร์ (Meter) หรือ มัลติมิเตอร์ (Multimeter) ได้ โดยค่าที่วัดได้มีตั้งแต่ค่าทางไฟฟ้าค่าเดียว เช่น มิเตอร์วัด Volt, Amp, kWh Meter ไปจนถึงวัดค่าทางไฟฟ้าได้ทั้งหมดในตัวเดียว เช่น Power Meter      3. การติดตั้งของพาวเวอร์มิเตอร์ (Meter) หรือ มัลติมิเตอร์ (Multimeter)   ตัวอย่าง การติดตั้งของมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Meter) รุ่น KM-07N-1 ตัวอย่าง Input Impedance ของมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Meter) รุ่น KM-24-L การติดตั้งหน้าตู้คอนโทรล : ทำให้สามารถมองเห็นค่าได้อย่างชัดเจน การติดตั้งในตู้คอนโทรล : ทำให้ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง      4. ฟังก์ชั่นเพิ่มเติมพาวเวอร์มิเตอร์ (Meter) หรือ มัลติมิเตอร์ (Multimeter) ที่ต้องการ อาทิ พอร์ทสื่อสาร RS-485, Hour Counter, Protection Relay, Water Meter เป็นต้น ตัวอย่าง ฟังก์ชั่นเพิ่มเติมของมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Meter) รุ่น KM-07N-1 ตัวอย่าง ฟังก์ชั่นเพิ่มเติมของมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Meter) รุ่น KM-24-L Power Meter มีพอร์ทการสื่อสาร RS-485 ใช้สำหรับเก็บค่าทางไฟฟ้าต่าง ๆ และดูค่าพลังงานผ่านคอมพิวเตอร์แทนการเดินจดค่า   Power Meter มีพอร์ทการสื่อสาร RS-485 ใช้สำหรับเก็บค่าทางไฟฟ้าต่าง ๆ และดูค่าพลังงานผ่านคอมพิวเตอร์แทนการเดินจดค่า และยังสามารรับสัญญาณจากมิเตอร์น้ำได้ในตัวเดียวกัน      จากข้อมูลการแนะนำ “4 สิ่งสำคัญในการเลือกซื้อมัลติมิเตอร์ (Multimeter, Power Meter)”  ดังกล่าว เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการเลือกมิเตอร์ให้เหมาะสมแล้ว นอกจากนี้วิธีการต่อใช้งานมิเตอร์ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน ดังนั้นเราจึงขอยกตัวอย่างวิธีการต่อใช้งานมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Meter) รุ่น KM-07N-1 ร่วมกับ Software Prisoft (ดังตัวอย่าง)        ตัวอย่างการต่อใช้งานมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Meter) รุ่น KM-07N-1 กับ Software Prisoft        ตัวอย่างวิธีการต่อใช้งานมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Meter) รุ่น KM-24-L ต่อร่วมกับมิเตอร์น้ำ และเชื่อมต่อผ่าน Software Prisoft        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน   การติดตั้ง Power Meter วัดค่าพลังงานตู้ MDB การติดตั้ง LoRa Meter เก็บค่าการใช้ไฟฟ้าและการใช้น้ำในหอพัก 3 Phase Power And Energy Meter With RS485 USB to RS-422/ RS-485 Converter Wireless RS-485 TO LoRaWAN Converter RS-485 DATA LOGGER Prisoft เป็น Software Web Server Monitoring System โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
การใช้ PLC Touch Screen ควบคุม Inverter

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      PLC (Programmable Logic Controller) อุปกรณ์สำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องจักรแบบอัตโนมัติที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งได้มีการนำเสนอกันไว้ในหัวข้อ "ทำไมต้องใช้ PLC+HMI ในการควบคุมเครื่องจักรในยุคปัจจุบัน" โดย PLC มีหน้าจอแสดงผลรูปแบบต่าง ๆ เช่น PLC จอแสดงผลชนิดตัวอักษร, PLC จอแสดงผลชนิด TFT ความละเอียดสี 65,536สี+LED BACKLIGHT, PLC จอแสดงผลแบบ Touch Screen ที่ถูกออกแบบให้แสดงผลเป็นรูปภาพ (Picture), กราฟิก (Graphics), ตัวเลข (Number) และกราฟเส้น (Line Graph) เป็นต้น โดยผู้เขียนโปรแกรมมีขนาดจอตั้งแต่ 3.5” - 15.6” (Unitronics) ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป โดยในวันนี้เราจะขอแนะนำ PLC แบบหน้าจอสัมผัส (Touch Screen) แบบโปรแกรมได้ สามารถทำงานได้ทั้งการรับและการแสดงผลข้อมูล ซึ่งในส่วนของการใช้งานหน้าจอทัชสกรีน (Touch Screen) ร่วมกับ PLC  มีส่วนประกอบหลัก ๆ ด้วยกัน 3 ส่วน คือ ตัว Touch Screen, Cable Link และส่วนที่เป็น Software นั่นเอง โดย Touch Screen PLC มีรูปแบบดังนี้        PLC Touch Screen   SAMBA V570 COLOR OPLCTH 1040 COLOR OPLCTH V280 GRAPHIC/TOUCH OPLCTH V530 GRAPHIC/TOUCH OPLCTH UNISTREAM COLOR OPLCTH      PLC หน้าจอแบบ Touch Screen เป็นการทำงานในรูปแบบการส่งและรับข้อมูลของ Register ต่าง ๆ ใน PLC ไม่ว่าจะเป็น Input, Relay หรือ Output โดยมาแสดงในรูปแบบของกราฟิก, รูปภาพ, ค่าตัวเลข, ค่าตัวอักษร หรืออื่น ๆ บนหน้าจอ Touch Screen ซึ่ง Register เหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กับ Ladder Diagram ที่เราได้โปรแกรมเอาไว้ใน PLC เช่น การโปรแกรมออกแบบ Switch ไว้บนหน้าจอ Touch Screen และกำหนดค่า Register เมื่อกดปุ่มดังกล่าวในหน้าจอ Touch Screen จะส่งผลให้ Register ใน PLC ทำงานด้วย      จากรูปตารางแสดงรุ่นต่าง ๆ ของ PLC Touch Screen ยี่ห้อ Unitronics ต่อมาเราจะแนะนำการใช้งาน PLC Touch Screen ในการควบคุม Inverter เนื่องจากปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมได้มีการนำ Inverter มาใช้ในการควบคุมความเร็วรอบของมอเตอร์ (RPM) และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของมอเตอร์สำหรับเครื่องจักรกันอย่างแพร่หลายเรียกได้ว่า Inverter เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการผลิตเลยก็ว่าได้ ซึ่งแน่นอนว่า Inverter ส่วนมากยังคงมี I/O มาให้เราใช้เพื่อสามารถให้ PLC สั่งงาน Inverter ผ่านทาง I/O รูปแบบเดิมได้ หรือผ่านช่องการสื่อสาร RS485/R232        ในหัวข้อ การใช้ PLC Touch Screen ควบคุม Inverter โดยเราจะยกตัวอย่างการใช้งาน PLC โดยการสั่งงานผ่าน RS485 จาก HMI UNITRONICS ไปยัง INVERTER SINAMICS V20 ในการควบคุมมอเตอร์ (ดังรูป)        ยกตัวอย่าง Invertor ด้วย PLC แบบ Touch Screen รูปแสดงการสั่งงาน HMI UNITRONICS ผ่าน RS485 ไปยัง INVERTER SINAMICS V20        จากรูปเป็นการสั่งงานผ่าน RS485 จาก HMI UNITRONICS ไปยัง INVERTER SINAMICS V20 โดยสามารถนำมาเขียนโปรแกรมด้วย Ladder ดังนี้ ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วย Ladder ของ PLC แบบ Touch Screen เพื่อควบคุม Invertor INVERTER SINAMICS V20        จากรูป เป็นการเขียนโปรแกรมในส่วนของ HMI และในส่วนของ LEDDER โดยจะเป็น Block สำเร็จรูป โดยหลักจะทำการตั้งค่า Port Communication มาตรฐานให้ตรงกับอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อซึ่งคือตัว Inverter โดยเราจะตั้ง Baud Rate, Parity, Stop Bit เป็นต้น        ดังรูปจะเป็นออกเป็น 4 Block หลัก คือ การตั้งค่า Port, การใช้คำสั่ง Start, การใช้คำสั่ง Stop และการใช้งานคำสั่งเปลี่ยนความถี่ของ Inverter เป็นต้น        ข้อดีของการใช้ PLC Touch Screen ควบคุม Inverter      • สามารถออกแบบกราฟิก, ปุ่มกด (Switch) ได้ตามความต้องการ      • เพื่อให้มีความยืดหยุ่นต่อการใช้งาน      • กรณีใช้เป็นแบบ RS485 จะลดความซับซ้อนในการ Wiring สายคอนโทรล        ประโยชน์ของการใช้งาน PLC+HMI ในการควบคุมเครื่องจักร      • PLC+HMI ควบคุมระบบการทำงานของเครื่องจักรต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ      • PLC+HMI เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ Input และ Output ได้หลากหลาย      • PLC+HMI ง่ายต่อการใช้งาน ตรวจสอบการทำงาน หรือการ Maintenance      • PLC+HMI มีฟังก์ชันต่าง ๆ การทำงานหลากหลาย สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานกับงานอุตสาหกรรมได้มากมาย      • PLC+HMI ลดความซับซ้อนในการออกแบบระบบ เนื่องจากมีทั้ง HMI และ PLC อยู่ภายในตัวเดียว        ตัวอย่างการประยุกต์ไช้งาน PLC (Programmable Logic Controller) UNITRONICS   เครื่องควบคุมแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ ชุดควบคุมอุณหภูมิห้องแรงดันลบ ระบบควบคุมระบบน้ำในกระบวนการผลิต   Switching Power Supply 1.2A Switching Power Supply 2.5A Switching Power Supply 5A Digital Remote Display Panel SPDT Relay Module โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
วิธีการเลือกฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) ให้เหมาะสมกับหน้างาน

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      ฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) คือ ฮีตเตอร์ท่อกลมแบบที่ไม่ติดครีบ หรือฮีตเตอร์ท่อกลมแบบติดครีบ เรียกว่า ฮีตเตอร์ครีบ (Finned Heater) โดยฮีตเตอร์ท่อกลมทั้ง 2 แบบสามารถดัดงอได้ตามลักษณะหน้างานการติดตั้ง สามารถใช้ให้ความร้อนได้ทั้งอากาศ, ของเหลวและโมลด์โลหะ นิยมใช้ในงานอุตสาหกรรมทั่วไป เช่น      • ใช้ให้ความร้อนกับอากาศ เช่น ให้ความร้อนกับอากาศภายในห้อง, งานอบชิ้นงานอุตสาหกรรมรถยนต์, อบพลาสติก, อบไม้, อบแม่พิมพ์, อบสี, อบใยผ้า, ลดความชื้นในระบบทำความเย็น เป็นต้น      • ใช้ให้ความร้อนกับของเหลว เช่น ต้มน้ำในอ่างน้ำร้อน, เครื่องทำน้ำร้อนขนาดเล็ก เป็นต้น      • ใช้ให้ความร้อนกับโมลด์โลหะ เช่น งานแม่พิมพ์โลหะ เป็นต้น        ฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) มีวัสดุให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับงานทั้ง SUS 304, SUS 316, Incoloy 840, ทองแดง เป็นต้น และนอกจากนี้ยังสามารถดัดงอเป็นรูปร่างต่าง ๆ ได้หลากหลายตามลักษณะการติดตั้งหน้างาน โดยส่วนมากรูปแบบ Tubular Heater ที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม มีดังนี้   ฮีตเตอร์ท่อกลมแบบตัว I (Tubular Heater I-Shape) ฮีตเตอร์ท่อกลมแบบตัว U (Tubular Heater U-Shape) ฮีตเตอร์ท่อกลมแบบตัว W (Tubular Heater W-Shape) ฮีตเตอร์ท่อกลมแบบขดยากันยุง        ในวันนี้เราจะมาแนะนำการเลือกใช้งานฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) ที่ใช้ให้ความร้อนโดยตรงในอากาศ เพื่องานอบแห้ง, ไล่ความชื้น, อบสี, อบขนม, อาหาร ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ในหัวข้อ "วิธีการเลือกฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) ให้เหมาะสมกับหน้างาน" ว่ามีหลักการอย่างไร? และต้องมีข้อมูลอะไรบ้างในการเลือกใช้งาน โดยจำแนกได้ดังนี้   ข้อมูลสำคัญในการเลือกฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) ให้เหมาะสมกับหน้างาน      1. วัสดุของท่อ โดยมีวัสดุให้ได้เลือกหลากหลายชนิด ที่เหมาะกับทุกลักษณะงาน           1.1 SUS 304 เหมาะกับงานอากาศ, ของเหลวทั่วไป           1.2 SUS 316 เหมาะกับงานอากาศ, ของเหลวทั่วไป           1.3 Incoloy 840 เหมาะกับอากาศที่ไม่หมุนเวียน, งานสารเคมี           1.4 Copper เหมาะกับงานของเหลว (ลดการเกาะของตะกรัน)      2. การออกแบบกำลังวัตต์ ที่ต้องมีค่าวัตต์/พื้นที่ (Watt Density) และแรงดันไฟ (Volt) เหมาะกับลักษณะงาน เนื่องจากฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้ทั้ง อากาศ, ของเหลว, โมลด์โลหะ เช่น การนำไปใช้ให้ความร้อนภายในเตาอบก็ควรจะมีกำลังวัตต์ที่ค่าวัตต์/พื้นที่ ไม่เกิน 5W/cm2 เป็นต้น *** มีทีมงานที่เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา ***      3. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อ (mm.) มีขนาดแกนให้เลือกตั้งแต่ขนาด 8.2 mm. - 16 mm.           3.1 ความยาวท่อ (ยาวสูงสุด 6 เมตร)           3.2 ระยะห่างระหวางแกน U/W (mm.)      4. รูปร่างของฮีตเตอร์ สามารถดัดขดได้หลากหลายรูปแบบให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่จะติดตั้ง เช่น พื้นที่แคบแต่ต้องการความร้อนสูง ก็แนะนำให้เลือกเป็นรูปทรง W-Shape หรือ แบบขดยากันยุง เป็นต้น      5. ลักษณะการติดตั้ง การติดตั้งแบบเกลียวและแบบไม่มีเกลียว      6. ระยะ Cool Zone (mm.) กรณีนำไปใช้ให้ความร้อนกับของเหลว   รูปแบบของฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) สำหรับการติดตั้งหน้างาน 12345   ฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) I-Shape แบบไม่มีเกลียว   ฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) I-Shape แบบมีเกลียว         ฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) U-Shape แบบไม่มีเกลียว   ฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) U-Shape แบบมีเกลียว         ฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) W-Shape แบบไม่มีเกลียว   ฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) W-Shape แบบมีเกลียว        นอกจากฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) แล้ว ยังมีฮีตเตอร์ประเภทอื่น ๆ ที่ให้ความร้อนแก่ชิ้นงานหรือของเหลว โดยแต่ละประเภทได้ถูกนำไปใช้งานที่แตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมของลักษณะงาน ดังนี้      • ฮีตเตอร์รัดท่อ (Band Heater) เพื่อให้ความร้อนแก่เครื่องฉีดพลาสติก      • ฮีตเตอร์แผ่น (Strip Heater) เพื่อให้ความร้อนกับแผ่นแม่พิมพ์      • ฮีตเตอร์ต้มน้ำ (Immersion Heater) เพื่อต้มน้ำมัน ของเหลวหรือต้มสารเคมี      • ฮีตเตอร์แท่ง (Cartridge Heater) เพื่อให้ความร้อนแก่แม่พิมพ์ ในการอุ่นของเหลว อุ่นกาว      • ฮีตเตอร์ครีบ (Finned Heater) เพื่อให้ความร้อนกับอากาศในการอบแห้ง ไล่ความชื้น      • ฮีตเตอร์อินฟราเรด (Infrared Heater) ให้ความร้อนโดยการแผ่รังสี งานอบสี อบขนม อบอาหาร      • ฮีตเตอร์บอบบิ้น (Bobbin Heater) ให้ความร้อนกับของเหลวหรือสารละลาย      • คอยล์ฮีตเตอร์ (Coil Heater), ฮีตเตอร์ฮอตรันเนอร์ (Hot Runner Heater) ใช้ในงานอบแห้ง ใช้ในการไล่ความชื้นในระบบ   ตัวอย่างการต่อใช้งานฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) การต่อใช้งานฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater) ร่วมกับ Thermocouple, Temperature Controller, Solid State Relay เพื่อควบคุมในระบบ   การประยุกต์ใช้งานฮีตเตอร์ท่อกลม (Tubular Heater)   Tubular Heater ในงาน Duct Heater ติดตั้งในท่อลมเพื่อทำลมร้อนไปใช้งานต่อ Tubular Heater ในเตาอุ่นอาหารไฟฟ้า โดยการให้ความร้อนกับน้ำภายใต้ถาดอาหาร Tubular Heater ในตู้อบยาโดยใช้งานร่วมกับ Blower Fan เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายความร้อน Multifunction Meter Three Phase Volt-Amp kwh-Meter Wiht Protection Relay  Single Phase kWh-Meter With LORA RS-485 DATA LOGGER USB to RS-422/RS-485 CONVERTER       โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
วิธีการติดตั้ง Programmable Encoder แบบ Hollow Shaft และ Shaft

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      เอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) เซ็นเซอร์สำหรับวัดระยะทาง (Distance Sensor), ความเร็ว (Speed), ทิศทางการหมุนของมอเตอร์ (Direction of Rotation), ตำแหน่งหรือมุม เป็นต้น ที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท ตามลักษณะของสัญญาณเอาต์พุต (Output Signal) คือ Encoder แบบ Increment หรือที่เรียกว่า Increment Encoder / Rotary Encoder และ Encoder แบบ Absolute หรือที่เรียกว่า Absolute Encoder โดยได้มีการอธิบายไว้ในหัวข้อ “Increment Encoder ต่างกับ Absolute Encoder อย่างไร?” เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปใช้กับหน้างานได้อย่างเหมาะสม        บทความนี้เราขอจะขอแนะนำทุกท่านเกี่ยวกับลักษณะในรูปแบบการนำไปติดตั้งหน้างาน ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้วเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) จะมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบแกนเพลา (Shaft) และ Hollow Shaft หรือแบบรูกลวง ดังรูป   ลักษณะของ Programable Encoder แบบ Hollow Shaft ลักษณะของ Programable Encoder แบบ Shaft Encoder แบบ Hollow Shaft Encoder แบบ Shaft      โดยในวันนี้เราจะพูดถึงวิธีการติดตั้งเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) กันต่อ ในหัวข้อ “วิธีการติดตั้ง Programmable Encoder แบบ Hollow Shaft และ Shaft” ซึ่งจะมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ควรคำนึงถึงก่อนการติดตั้ง เช่น แรงที่กระทำต่อเพลา การสั่นสะเทือน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการติดตั้ง Encoder ด้วย โดยขอยกตัวอย่าง Encoder แบบที่สามารถโปรแกรมเลือกย่าน Pulse/Revolution ได้ (ตั้งแต่ 1-16,384 Pulse/Revolution) หรือเรียกว่า Programmable Encoder (รุ่น PR-04) โดยต่อร่วมกับพอร์ตแปลงสัญญาณพร้อมสายแบบ USB (Converter + USB Cable) PR-PRO เชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ผ่าน Software หรือต่อเข้ากับพีแอลซี (PLC) โดยตรงก็สามารถทำได้ โดยที่ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนแปลงหรือเลือกย่านพัลส์ (Pluse) ได้ด้วยตนเอง ก่อนอื่นขออธิบายลักษณะของเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) ทั้งแบบ Hollow Shaft และ Encoder แบบ Shaft กันก่อน ดังนี้      เอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) แบบ Shaft โดยทั่วไปจะมีขนาดแกนเพลาที่ 6 mm. , 8 mm. , 10 mm. และขนาด Diameter 38 mm. หรือ 50mm. ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อนั้น ๆ โดยมีลักษณะเป็นแกนยื่นออกมา ในการติดตั้งใช้งานนั้นจะต้องอาศัยอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมระหว่าง เอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) เข้ากับชิ้นงาน คือ Coupling ซึ่งจะช่วยในการติดตั้งเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) ให้ง่ายขึ้น เนื่องจากจะสามารถช่วยลดการเสียหายในกรณีที่การติดตั้งที่มีการเยื้องศูนย์ทำให้เกิดแรงเหวี่ยง ส่งผลให้เกิดแรงที่ไม่ต้องการไปยังแกนของเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) และส่งต่อไปยัง Bearing ด้านใน ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหลักที่ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง        เอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) แบบ Hollow Shaft หรือ แบบรูกลวง จะมีลักษณะเป็นรูตรงกลาง และมีตัวล็อคสำหรับยึดเข้ากับ Bearing จะสามารถลดปัญหาเรื่องการติดตั้งลงได้ เนื่องจากการเยื้องศูนย์นั้นเกิดขึ้นได้ยากกว่า ซึ่งเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) แบบ Hollow Shaft จะไม่สามารถแก้ไขเรื่องของแรงสั่นสะเทือนได้        ตัวอย่างการติดตั้ง Programable Encoder แบบ Hollow Shaft และ Programable Encoder แบบ Shaft เข้ากับ Bearing Motor   การติดตั้ง Programable Encoder แบบ Hollow Shaft เข้ากับ Bearing Motor ตัวอย่างการติดตั้ง Programable Encoder แบบ Shaft เข้ากับ Bearing Motor      ในการติดตั้ง Programmable Encoder แบบ Hollow Shaft และ แบบ Shaft ปัจจัยสำคัญที่เราต้องคำนึงถึง ดังนี้      • Maximum Shaft Loadings คือ แรงสูงสุดที่กระทำกับเพลา หรือแกนของเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) ซึ่งจะมีผลทำให้ตัว Bearing ที่อยู่ภายในตัว Encoder ได้รับความเสียหาย ดังนั้นควรเลือก Encoder ที่มีค่า Maximum Shaft Loadings ที่เหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งในเอ็นโค้ดเดอร์หลาย ๆ ยี่ห้อ เช่น Lika จะมีค่าเหล่านี้บอกไว้ใน Data Sheet      • Shock คือ ค่าความเร่งสูงสุดที่เกิดจากการหมุนของเพลาของเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) โดยเราจะอ้างอิงกับมาตรฐาน IEC 60068-2-27 EN : 2008 ซึ่งมีการทดสอบที่การเร่งความเร็วสูงสุด 100 g. ในช่วงระยะเวลา 6 วินาที โดยสามารถดูค่า Shock สูงสุดที่สามารถทนได้ สำหรับ Encoder แต่ละรุ่นได้ในคู่มือ เพราะถ้าสูงมากกว่านี้อาจทำให้เกิดการเสียหายแก่ชิ้นส่วนภายในได้ เช่น วงจรอิเล็กทรอนิกส์ หรือแผ่น Code Disk อาจแตกร้าวได้      • Vibration คือ ค่าการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องสูงสุดที่ตัวเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) สามารถที่จะทนต่อได้โดยไม่ทำให้ชิ้นส่วนทางกลเกิดการสูญเสีย ซึ่งจะอ้างอิงไปตามมาตรฐานการทดสอบการสั่นสะเทือนซึ่งดำเนินการในการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล IEC EN 60068-2-6 : 2007 โดยมีการทดสอบที่ค่าแรงสั่นสะเทือน 10 g. ความถี่ 5-2000 Hz ค่าแอมปลิจูดที่ 0.75 มิลลิเมตร และสามารถดูค่า Vibration สูงสุดที่สามารถทนได้ ของเอ็นโค้ดเดอร์แต่ละรุ่นได้ในคู่มือ      • Short Circuit Protection เป็นวงจรที่ป้องกันการเสียหายของภาคเอาต์พุต (Output) ของเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) ในกรณีที่มีเกิดความผิดพลาดแล้วทำให้สัญญาณเอาต์พุตไปสัมผัสกับขาแรงดันศูนย์โดยปราศจากโหลด ซึ่งจะทำให้เกิดการเสียหายแก่วงจรภาคเอาต์พุตได้ ดังนั้น Encoder ที่ดีควรมีวงจรป้องกันการเกิด Short Circuit และควรตรวจสอบการเดินสายไฟให้เรียบร้อยทุกครั้งก่อนการเริ่มจ่ายไฟ      • Reverse Polarity Protection เป็นวงจรที่ป้องกันการเสียหายของภาคเอาต์พุต (Output) ของเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) ในกรณีที่มีเกิดความผิดพลาดจากการต่อสายไฟเลี้ยงวงจรผิดขั้ว ซึ่งจะทำให้เกิดการเสียหายแก่วงจรภายในได้ ดังนั้น Encoder ที่ดีควรมีวงจรป้องกันการเกิด Reverse Polarity และควรตรวจสอบการเดินสายไฟให้เรียบร้อยทุกครั้งก่อนการเริ่มจ่ายไฟเช่นกัน      • Operating Temperature เป็นค่าอุณหภูมิสูงสุดที่เอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) ยังสามารถทำงานได้ตามปกติและไม่ทำให้เกิดการเสียหายแก่ตัว Encoder ด้วย โดยมีการอ้างอิงกับมาตรฐาน CEI IEC 68-2-1 and CEI IEC 68-2-2 และสามารถดูค่า Operating Temperature สูงสุดที่สามารถทนได้ของ Encoder แต่ละรุ่นได้ในคู่มือ      • IP Protection Ratings เป็นมาตรฐานในการป้องกันฝุ่นและน้ำของเซ็นเซอร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าโดยทั่ว ๆ ไป ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวอ้างอิงในการช่วยเลือกตัวเอ็นโค้ดเดอร์ (Encoder) ให้เหมาะกับการติดตั้งในสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวเลขยิ่งสูงยิ่งสามารถทนต่อสภาวะแวดล้อมที่มีฝุ่นและน้ำได้ดีมากขึ้น      ตารางเปรียบเทียบข้อดีของวิธีการติดตั้ง Programmable Encoder แบบ Hollow Shaft และ Shaft   การติดตั้ง Programable Encoder แบบ Hollow Shaft เข้ากับ Bearing Motor การติดตั้ง Programable Encoder แบบ Shaft เข้ากับ Bearing Motor สามารถติดตั้ง Encoder เข้ากับแกนของ Motor ได้โดยตรง การติดตั้ง Encoder เข้ากับแกนของ Motor ต้องมีอุปกรณ์เสริม Coupling ในการเชื่อมต่อระหว่างแกน Motor กับแกน Encoder      ตัวอย่างการต่อใช้งาน Programmable Encoder แบบ Hollow Shaft ร่วมกับ Digital Frequency Meter รุ่น TFM-94        ตัวอย่างการต่อใช้งาน Programmable Encoder แบบ Shaft ร่วมกับ RPM & LINE SPEED Meter รุ่น CM-001-L        Encoder แบบ Hollow Shaft และ Shaft มีทั้งแบบที่สามารถโปรแกรมเลือกย่าน Pulse/Revolution (รุ่น PR-04) ได้ โดยผู้ใช้งานเองแล้ว คือ Programmable Encoder ยังมี Encoder แบบ Fixed Pulse จากทางผู้ผลิตเอง เช่น 100 P/R, 500 P/R, 1000 P/R, 1024 P/R เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเอ็นโค้ดเดอร์แบบลูกล้อหรือเครื่องวัดระยะทางแบบลูกล้อ (Measuring Wheel Encoder) ใช้สำหรับวัดความยาวของผ้า, แผ่นพลาสติก, กระดาษ หรือโลหะแผ่น โดยวางลูกล้อลงบนชิ้นงานสามารถต่อเข้ากับ Counter ได้โดยตรงเพื่อวัดระยะทาง หน่วยเป็นเมตร มีเอาต์พุตแบบ Push-Pull ทำให้สามารถใช้แทนได้ทั้ง NPN และ PNP Open Collector และ แบบ Line-Driver (ดังรูป) เครื่องวัดระยะทางแบบลูกล้อ (Measuring Wheel Encoder) รุ่น EHM        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน Encoder   วัดความเร็วรอบของ Motor โดยใช้ Programmable Encoder แบบ Hollow Shaft วัดระยะความยาวของการเคลื่อนที่ของสายพาน โดยใช้ Programmable Encoder แบบ Shaft วัดความเร็วรอบของสายพานการผลิต โดยใช้ Programmable Encoder แบบ Shaft   โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK

Image Alternative text
โปรแกรมบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management Software) ด้วย Software Prisoft

โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK      พลังงาน (Energy) ในธรรมชาติโดยทั่วไปมีอยู่หลายรูปแบบและสามารถเปลี่ยนรูปแบบหรือแปรรูปได้ โดยการเปลี่ยนแปลงพลังงานอีกรูปแบบเป็นพลังงานอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานความร้อนหรือพลังงานไฟฟ้า, การเปลี่ยนพลังงานน้ำเป็นพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งโดยปกติประเภทของพลังงานที่เรามักเจอกันบ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะอยู่ตามที่พักอาศัย อาคารหรือโรงงานอุตสาหกรรม นั่นก็คือพลังงานความร้อนและพลังงานไฟฟ้านั่นเอง โดยในที่นี้เราจะพูดถึงระบบการจัดการพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม (Factory Energy Management System) เป็นหลัก เนื่องจากในโรงงานอุตสาหกรรมมีกระบวนการผลิตที่ต้องวัดและเก็บบันทึกข้อมูลเพื่อควบคุมค่าต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เช่น การวัดอุณหภูมิ (Temperature), ความชื้น (Humidity), น้ำหนัก (Weight), ปริมาณของเหลว (Liquid Volume), การวัดความยาว (Length) เป็นต้น การเก็บบันทึกข้อมูลการใช้พลังงานแบบเดิมอาจจะใช้การบันทึกในรูปแบบเอกสาร (Paper) โดยการจดบันทึกของผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งวิธีนี้อาจทำให้ข้อมูลที่ได้เกิดความคลาดเคลื่อนและนำมาใช้ประโยชน์ได้น้อยเมื่อเทียบกับการใช้จริง        ปัจจุบันก็ได้มีวิธีการบริหารจัดการด้านพลังงานที่สามารถ หรือที่เรียกว่า ระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System : EMS) ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับระบบบริหารจัดการพลังงานกันก่อนว่าคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ดังนี้        ระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System : EMS) หมายถึง ระบบอัตโนมัติที่นำเข้ามาใช้ในการควบคุมให้การผลิต การโอนย้าย การขนส่ง รวมถึงการใช้พลังงานเพื่อให้เป็นไปอย่างเหมาะสม โดยเป็นการเชื่อมต่อประสานงานกันระหว่างอุปกรณ์ตรวจวัดต่าง ๆ กับระบบควบคุมอุปกรณ์เครื่องมือวัดไฟฟ้าอัตโนมัติบนโครงสร้างของระบบเครือข่าย (Network) ที่เป็นการจัดการผ่านโปรแกรม (Software) ในการ Monitoring        จากบทความที่เราได้มีการนำเสนอเกี่ยวกับ Software Prisoft ในหัว “แจ้งเตือน Alarm ต่าง ๆ ผ่าน Line ด้วย Software Monitoring “PRISOFT” นั้น โดยในวันนี้เราจะมานำเสนอเป็นหัวข้อ  โปรแกรมบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management Software) ด้วย  Software Prisoft  (รูปตัวอย่าง Software)      Software Prisoft เป็น Software Web Server Monitoring System สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์บน TCP/IP, RS485, RS232 และ Lora Wan ได้ โดยจะทำหน้าที่อ่านค่าตัวแปรที่ผู้ใช้ต้องการ ผ่านระบบสื่อสารและนำมาเก็บข้อมูลใน Database บนเครื่อง PC และนำข้อมูลไปแสดงผลยังหน้า Webpage โดย Protocol ที่ Prisoft สามารถรองรับการใช้งานได้ ดังนี้        1. MODBUS RTU Mode บนระบบ RS485        2. MODBUS TCP        3. LoRaWAN 1.0 โดยใช้งานร่วมกัน Femto Gateway Gemtek และอุปกรณ์ LoRaNode ของ บริษัท ไพรมัส จำกัด ตัวอย่าง โดย Protocol ที่ Prisoft สามารถรองรับการใช้งาน        Software Prisoft โปรแกรมบริหารจัดการพลังงานด้านไฟฟ้า, อุณหภูมิ, ความชื้น ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถบริหารและวางแผนการใช้ระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Software Prisoft สามารถแสดงผลและบันทึกค่าทางไฟฟ้าหรือค่าอุณหภูมิและความชื้นได้ ดังนี้ V-Line, V-Phase, V-Average, V-Line, A-Average, A-Neutral, KW, KVA, KVAR, PF, Frequency, Demand, Demand Control, RunningHour, Total Harmonics-Volt, Total Harmonics Current, Efficiency (%), Load (%), Partial Harmonics หรือค่าอื่น ๆ ที่มิเตอร์สามารถอ่านค่าได้        ข้อดีของการใช้โปรแกรมบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management Software) ด้วย Software Prisoft        1. สามารถดูข้อมูลผ่าน Monitor ได้แบบ Real Time และได้รับการแจ้งเตือนที่รวดเร็วขึ้น        2. สามารถดูข้อมูลย้อนหลังด้วยกราฟ จากกลุ่ม Tag ที่ผู้ใช้งานสามารถกำหนดเองได้ และยังสามารถ Export ข้อมูลเป็น Excel        3. สามารถวิเคราะห์ความต้องการใช้กำลังไฟฟ้าและทำบิลค่าไฟฟ้า โดยรองรับระบบการคิดค่าไฟฟ้าแบบ Normal Rate, TOU และ TOD        4. การลด Downtime        5. ลดต้นทุนในการ Wiring สาย        6. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน        ตัวอย่างที่ 1 : Software PRISOFT สามารถใช้งานร่วมกับ Power Meter เพื่อวิเคราะห์พลังงานและยังสามารถแจ้งเตือนเมื่อมีค่ากระแสสูงหรือต่ำเกินกว่ากำหนดหรือค่าอื่น ๆ รูปตัวอย่างที่ 1 : ใช้ร่วมกับ Power Meter เพื่อคำนวณข้อมูลการใช้พลังงานจาก 3 แหล่ง เพื่อหาค่าใช้จ่าย        จากรูปตัวอย่างที่ 1 : ใช้ร่วมกับ Power Meter เพื่อคำนวณข้อมูลการใช้พลังงานจาก 3 แหล่ง เพื่อหาค่าใช้จ่าย ดังนี้        • เก็บค่าพลังงานไฟฟ้า (kWh) ของมิเตอร์ของการไฟฟ้า (กรณีใช้ทั่วไป)        • Power Meter Biogas Generator (นำ Biogas มาเป็นพลังงาน)        • Power Meter Diesel Generator (กรณีฉุกเฉิน)        • เพื่อเปรียบเทียบการใช้ไฟจากทั้ง 3 แหล่ง มาเป็นข้อมูลของการปั่นพลังงานไฟฟ้าใช้เองจาก Biogas ที่ทีอยู่ในฟาร์ม        ตัวอย่างที่ 2 : Software PRISOFT สามารถใช้งานร่วมกับระบบ LoRa เพื่อลดปัญหาการเดินสายสัญญาณ รูปตัวอย่างที่ 2 : Software PRISOFT สามารถใช้งานร่วมกับ ระบบ LoRaWan เพื่อลดปัญหาการเดินสายสัญญาณ        จากรูปตัวอย่างที่ 2 : สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานได้ ดังนี้        1. เก็บค่าความยาวของเส้นลวด ทำ Excel        2. Monitor ค่าแบบ Realtime        3. ดูผ่านหน้า Web Browser ได้        4. มีการแจ้งเตือน Alarm        5. สามารถใช้ Convertor แบบไร้สาย โดยไม่ต้องเดินสายสัญญาณ        ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานโปรแกรมบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management Software) ด้วย Software Prisoft โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   กรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ CLICK